posttoday

หาคำตอบทำไม ‘เซนทิเนลี’ จึงเป็นชนเผ่าที่โดดเดี่ยวจากภายนอกมากที่สุดในโลก

10 สิงหาคม 2568

ชวนหาคำตอบทำไม ‘เซนทิเนลี’ จึงเป็นชนเผ่าที่โดดเดี่ยวจากภายนอกมากที่สุดในโลก เนื่องในวันชนเผ่าโลกที่ผ่านมา

KEY

POINTS

  • ชนเผ่า ‘เซนทิเนลี’  ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่บนเกาะนอร์ทเซนทิเนล ได้ชื่อว่า ‘โดดเดี่ยว’ จากภายนอกมาที่สุดในโลก
  • จนถึงปัจจุบันนี้ โลกก็ยังไม่มีตัวเลขชนเผ่าเซนทิเนลีที่ชัดเจน แม้รัฐบาลอินเดียวางแผนจะสำรวจประชากรในปี 2027 แต่ถูกคัดค้านเนื่องจากเป็นการรบกวนและอาจทำให้ชนเผ่าตกใจ
  • เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงหลายครั้งเมื่อบุคคลภายนอกต้องการติดต่อชาวเซนทิเนลี เนื่องจากถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม แม้ชนเผ่าเซนทิเนลีจะมีพื้นฐานรักสงบและผูกพันกับธรรมชาติก็ตาม
  • บาดแผลจากประวัติศาสตร์การค้าทาส ทำให้ชาวเซนทิเนลีระแวดระวังตัวจากโลกภายนอก ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียประกาศคุ้มครองพื้นที่อย่างเข้มงวดจากโลกภายนอก

วันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ถือเป็น วันชนเผ่าโลก หรือ International Day of the World's Indigenous Peoples  องค์การสหประชาชาติตั้งขึ้นเพื่อยกย่องและให้ความสำคัญกับสิทธิ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และการมีส่วนร่วมของชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลก

 

สาเหตุที่ใช้วันที่ 9 สิงหาคมก็เพราะว่า เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติในเจนีวา มีการจัดประชุมครั้งแรกของคณะทำงานด้านชนเผ่าพื้นเมือง (UN Working Group on Indigenous Populations) การประชุมครั้งนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ชุมชนชนเผ่าและตัวแทนทั่วโลกได้มีเวทีอย่างเป็นทางการในการเสนอปัญหาและผลักดันสิทธิของตนต่อเวทีโลก

 

เมื่อพูดถึงชนเผ่า มักจะอยู่ที่ทัศนคติของผู้ที่รับฟัง หากเปิดใจและยืนหยันบนความหลากหลาย คำว่า ‘ชนเผ่า’ สะท้อนถึงการยอมรับถึงความหลากหลายและความแตกต่างของความคิด ความเชื่อ หรือแม้แต่วัฒนธรรมของกลุ่ม ในแบบที่หลายครั้งอาจจะแตกต่างจากขนบของผู้รับรู้ หรือโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

 

ชนเผ่าเซนทิเนลี

 

ชนเผ่า ‘เซนทิเนลี’  ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่บนเกาะนอร์ทเซนทิเนล หนึ่งในหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ในมหาสมุทรอินเดีย ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง ‘ความแตกต่าง’ จนบางครั้งก็ถูกพูดว่าพวกเขา ‘โดดเดี่ยว’ จากภายนอกมาที่สุดในโลก

 

เพราะอะไร?

 

แม้กระทั่ง ‘จำนวนประชากร’ ก็ยังไม่รู้ได้

 

เชื่อกันว่าชาวเซนทิเนลีอพยพมาจากแอฟริการาว 50,000 ปีก่อน ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ ตกปลา และหาอาหารด้วยธนู ลูกศร หอก และเครื่องมือหิน พวกเขาสืบทอดเผ่าพันธุ์โดยการแต่งงานภายในเผ่ากันเอง แบบไร้ซึ่งการปะปนจากคนภายนอก

 

จนถึงปัจจุบันนี้ โลกก็ยังไม่มีตัวเลขชนเผ่าเซนทิเนลีที่ชัดเจน  ในปี 2001 และ 2011 มีการบันทึกจำนวนประชากรของชนเผ่าเซนทีเนลี แต่ใช้วิธีการนับจากระยะไกล ในปี 2001 ระบุว่าเห็น 39 คน และปี 2011 ระบุว่าเห็น 15 คน ส่วนองค์กร Survival International ในลอนดอน ซึ่งทำงานรณรงค์เพื่อสิทธิชนพื้นเมือง ประเมินว่าประชากรชาวเซนทิเนลีมีอยู่ระหว่าง 50 ถึง 150 คน

 

ตัวเลขดังกล่าวยังไม่แน่ชัด หลังเกิดเหตุการณ์โควิด 19  ไม่มีใครรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไร รอดจากโรคระบาดนี้มากน้อยเพียงใด มีเพียงรายงานว่าผู้ปฏิบัติงานที่เฝ้าติดตามเผ่ามีผลตรวจติดโควิด ซึ่งมีความเสี่ยงอย่างมากที่เชื้ออาจแพร่ไปได้ แม้เจ้าหน้าที่จะยืนยันว่าก่อนเข้าพื้นที่ชุมชนจะมีการตรวจอย่างเข้มงวดก่อนก็ตาม

 

และตั้งแต่ปี 2014 ไม่มีเจ้าหน้าที่อินเดียคนใดขึ้นไปเหยียบเกาะนี้อีก

 

อย่างไรก็ตามมีรายงานว่ารัฐบาลอินเดีย เตรียมแผนที่จะสำรวจประชากรทั่วประเทศอีกครั้ง ซึ่ง ‘เซนทิเนลี’ กลายเป็นจุดที่หลายฝ่ายถกเถียงกันว่าควรจะทำอย่างไรกันดี

 

หลายฝ่ายเสนอให้ใช้โดรนหรือภาพถ่ายดาวเทียม แต่แนวคิดนี้ถูกนักมานุษยวิทยาหลายคนคัดค้าน เพราะพวกเขาคาดว่าจะเป็นการรบกวนและอาจทำให้เผ่าตกใจ อีกทั้งในปี 2004 ชาวเซนทิเนลีเคยยิงลูกศรใส่เฮลิคอปเตอร์ที่บินมาตรวจดูความเป็นอยู่ด้วยซ้ำ และเสนอว่าไม่ควรนับเลย เพราะเสี่ยงต่อการนำโรคเข้าไป และไม่เป็นประโยชน์ต่อการปกป้องทรัพยากรและความปลอดภัยของเผ่า!

 

เมื่อไล่เรียงความรู้เรื่องชนเผ่า เซนทีเนลี มาจนถึงตอนนี้ ก็ต้องขอหมายเหตุว่า ข้อมูลอาจจะมีผิดเพี้ยนจากความจริงก็เป็นได้  เนื่องจากพวกเขาต้านการติดต่อกับบุคคลภายนอกอย่างเคร่งครัด และรัฐบาลอินเดียก็ประกาศห้ามให้ใครเข้าเกาะโดยเด็ดขาด

 

จึงทำให้ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงของเผ่านี้ได้อย่างแม่นยำ

 

เกาะ North Sentinel Islands

 

 

ข้อเท็จจริงที่ ‘โลกภายนอก’ รับรู้

 

ชาวเซนทิเนลี ในสายตาของโลกภายนอกจะถูกมองว่าเป็นชนเผ่าที่ดุร้าย เนื่องจากมักจะลงเอยด้วยเหตุการณ์รุนแรง เช่น

 

  • ปี 1974  ทีมถ่ายทำของ National Geographic ถูกยิงธนูใส่
  • ปี  1981  เรือสินค้า Primrose เกยตื้นใกล้เกาะ ลูกเรือ 28 คนรอดชีวิตเพราะสภาพคลื่นลมกันไม่ให้ชนเผ่าเข้าถึง แต่เรือก็ยังไม่สามารถเก็บกู้ได้จนถึงปัจจุบัน
  • ปี 2006 ชาวประมง 2 คนเกยตื้นบนเกาะ และถูกฆ่าแขวนศพเป็นการเตือน
  • ปี 2018  มิชชันนารีชาวอเมริกา จอห์น อัลเลน เชา (John Allen Chau) ลอบเข้าเกาะเพื่อเผยแพร่ศาสนา ถูกยิงธนูเสียชีวิต และร่างของเขาก็ไม่ได้ถูกเก็บกู้แต่อย่างใด
  • ปี 2024  ยูทูปเบอร์ชาวสหรัฐฯ วัย 24 ปี ลักลอบเข้าไปพร้อมน้ำอัดลมและมะพร้าว ถูกทางการจับกุม

 

สำหรับเหตุการณ์ปี 2018 เป็นเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดเหตุการณ์หนึ่ง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2018 จอห์น อัลเลน เชา (John Allen Chau) อายุ 26 ปี นักมิชชันนารีชาวอเมริกัน ได้ลอบเดินทางไปยังเกาะนอร์ทเซนทิเนลโดยผิดกฎหมาย เพื่อเผยแพร่ศาสนาและพยายามติดต่อกับชาวเซนทิเนลี  โดยจ้างให้ชาวประมงทิ้งถิ่นลักลอบเข้าไปยังเกาะ  แค่เพียงเข้าสู่เกาะเท่านั้นเขาก็ถูกธนูยิงใส่จนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในที่สุด

 

ภาพของ จอห์น อัลเลน เชา (John Allen Chau่)

 

ชาวประมงที่ช่วยลักลอบเขากล่าวว่าเห็นว่าศพถูกฝังอยู่บนชายหาดของเกาะ เหตุการณ์น่าเศร้านี้ทำให้รัฐบาลอินเดียได้ประกาศห้ามเข้าพื้นที่รอบเกาะอย่างเข้มงวด และกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกตอกย้ำถึงการเคารพสิทธิของ ชาวเซนทิเนลี ที่ต้องการอยู่โดดเดี่ยวและไม่ถูกรบกวนจากภายนอก

 

นอกจากความต้องการของชาวเซนทิเนลี ที่รัฐบาลอินเดียเคารพแล้ว ยังมีเหตุผลบางประการที่เป็นข้อกังวล เช่น ชาวเซนทิเนลีมีภูมิคุ้มกันต่อโรคต่ำเพราะไม่เคยสัมผัสเชื้อโรคจากภายนอก การที่คนภายนอกเข้าไปใกล้หรือสัมผัสจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงได้

 

นอกจากนี้ อินเดียยังมีบทเรียนจากชนเผ่าอื่นๆ ที่มีการติดต่อจากโลกภายนอก เช่น ชาวเจราวา ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเส้นทางท่องเที่ยวชนเผ่า บางครั้งถูกเรียกว่า 'Human Safaris'  ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง และการติดต่อกับภายนอกทำให้พวกเขาพึ่งพิงของจากภายนอกและลดกำดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม สูญเสียวัฒนธรรมและเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง

 

 

คำตอบของความ ‘โดดเดี่ยว’

 

การติดต่อกับชาวเซนทิเนลีจากโลกภายนอก นอกเหนือไปจากเหตุการณ์รุนแรง มีอยู่หลายครั้ง ในช่วงทศวรรษ 1960 อินเดียพยายามติดต่อกับคนเหล่านี้โดยการนำของขวัญไปให้ นำโดย ที.เอ็น. ปัณฑิต (T.N. Pandit) นักมานุษยวิทยารายแรกของโลกที่พบกับชาวเซนทิเนลี หัวหน้าคณะสำรวจ

 

ภาพ ที.เอ็น. ปัณฑิต (T.N. Pandit)

 

ในปี 1967 คณะของเขาจำนวนเกือบ 20 คน เข้าสำรวจพื้นที่ด้วยกล้องส่องทางไกลและพบชาวเซนทิเนลียืนเฝ้าริมฝั่งก่อนจะหลบเข้าป่า หลังจากติดตามรอยเท้าไปได้ประมาณ 1 กิโลเมตร พบกระท่อม 18 หลังที่ยังใช้หุงข้าวอยู่ แสดงว่ามีคนอาศัยอยู่จริง พร้อมทั้งพบเศษอาหาร เช่น ปลาเผา ผลไม้ป่า เครื่องมือหิน ธนู ลูกศร ตะกร้า และหม้อไม้ ซึ่งบ่งชี้ถึงการประกอบโลหะเบื้องต้น

 

หลังจากนั้นมีการพยายามส่งของขวัญหลายครั้ง จนกระทั่งเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นในปี  1974 ทีมพยายามถ่ายทอดบรรยากาศผ่านสารคดีชื่อ 'Man in Search of Man' โดยวางของขวัญที่ชายหาด ชาวเซนทิเนลีตอบโต้ด้วยการยิงธนูไปยังทีมงาน รายงานว่าธนูเป้าโดนคนถ่ายสารคดีถึงขา

 

จนกระทั่งในปี 1991  พวกเขาได้รับการตอบสนองที่ดีจากชาวเซนทิเนลีเป็นครั้งแรก เพราะได้วางอาวุธลงและเดินออกมารับมะพร้าวที่ถูกยื่นให้ ในปีเดียวกัน ชาวเซนทิเนลีก็เข้ามาหาอีกครั้งในแบบที่ขึ้นเรือลำเล็กเพื่อรับมะพร้าวอย่างใกล้ชิด

 

ภาพ มธุมาลา ชัตโตปาธาย

 

เหตุการณ์ที่ปัณฑิตเจอ ทำให้เขากล่าวว่า ชาวเซนทิเนลีเป็นคนรักสงบ เพียงแต่มีความหวาดระแวงสูง ซึ่งอาจมีรากเหง้ามาจากประวัติศาสตร์อันเลวร้าย

 

ในอดีต หมู่เกาะอันดามันเคยเป็นเป้าหมายของพ่อค้าทาสจากพม่า ต่อมาในสมัยอาณานิคมอังกฤษก็ถูกใช้เป็นเรือนจำขนาดใหญ่ มีการลักพาตัวชาวเผ่าไป 'แสดง' อารยธรรมตะวันตก หลายคนป่วยและเสียชีวิตจากโรคที่ไม่เคยเจอมาก่อน จำนวนประชากรของชนเผ่าต่าง ๆ ในอันดามันลดจากราว 5,000 คนในปี 1858 เหลือเพียงไม่ถึง 500 คนในปี 1931

 

ภาพของ มธุมาลา ชัตโตปาธาย ( Madhumala Chattopadhyay)

 

ในปี 1880 มธุมาลา ชัตโตปาธาย ( Dr.Madhumala Chattopadhyay) นักมานุษยวิทยาชนเผ่าพื้นเมือง ที่เป็นผู้หญิงรายแรกซึ่งได้เข้าไปติดต่อกับชาวเซนทิเนลีร่วมกับคณะทำงาน ภายหลังเธอได้สัมภาษณ์กับสื่อ Indiatimes ระบุว่า ชาวอังกฤษได้เข้ามาดินแดนของชาวเซนทิเนลีเป็นรายแรก และจับกุมคู่สามีภรรยาและลูกสี่คนเอาไว้ สามีภรรยาชาวเซนทิเนลีเสียชีวิตจากการถูกขัง ซึ่งทำให้ชาวเซนทิเนลีหวาดกลัว

 

มธุมาลา ยังกล่าวด้วยว่า มีข่าวลือที่แพร่กระจายภายในเผ่า ว่ามีเรือหยุดที่เกาะของพวกเขา และเห็นว่ามีชายชาวเซนทิเนลียืนอยู่เพราะถูกจับและนำกลับไปเป็นทาส

 

ภาพ มธุมาลา ชัตโตปาธาย

 

เรื่องราวของ เซนทิเนลี ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากหลายสิบปีก่อนที่โลกรู้ แต่ในสังคมที่ความแตกต่างและหลากหลายได้รับการยอมรับมากขึ้น นี่จึงเป็นโอกาสดีอีกครั้ง ที่มนุษยชาติจะมองเรื่องราวของพวกเขาผ่านเลนส์ชุดใหม่

 

ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากประสบการณ์ที่ถูกเหยียดเชื้อชาติ และโดนมองว่าไม่เท่าเทียมกับตนเอง 

วิถีชีวิตที่พวกเขาเลือก 

หรือยอมรับว่า การพัฒนาของกลุ่มคนแต่ละกลุ่มนั้นมีช่วงเวลา และระยะเวลาที่แตกต่างกันไป.

 

 

ภาพ : survivalinternational

ข่าวล่าสุด

SME D Bank จัด 'Culture Day' ขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร "ประสานพลัง-พัฒนาเรียนรู้" สู่การเติบโต