posttoday

เปิดงานวิจัย 'ส้อมวัดความเค็ม' นวัตกรรมไทย ลดเค็ม ลดโรค!

23 กรกฎาคม 2568

NECTEC สวทช. แกะกล่องงานวิจัย 'ส้อมวัดความเค็ม' นวัตกรรมไทยทำให้รู้ระดับความเค็มในอาหาร หวังช่วยลดเค็ม ลดโรค ลดงบประมาณรักษาโรคไต!

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สวทช. แกะกล่องงานวิจัยน่าสนใจกับ 'ส้อมวัดความเค็ม'  ซึ่งเป็นงานวิจัยต้นแบบเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนสามารถรู้ลิมิตความเค็มอาหารที่รับประทาน เพื่อลดโรคที่จะเกิดตามมา

 

ส้อมวัดความเค็ม เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้บริโภคทราบถึงระดับความเค็มในอาหาร โดยระบุระดับความเค็มได้ตั้งแต่เค็มน้อย เค็มปานกลาง ไปจนถึงเค็มปี๋ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีปริมาณเกลือสูง และลดพฤติกรรมการปรุงที่เกินพอดี

อุปกรณ์นี้จะช่วยให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะผู้ที่ชอบบริโภคอาหารรสเค็มและ ผู้สูงอายุที่รับรู้รสเค็มได้น้อยกว่าปกติ ทราบระดับความเค็มของอาหารที่ไม่มีฉลากกำกับข้อมูลโภชนาการ เพื่อเลือกรับประทานได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น เพราะการบริโภคเกลือหรือโซเดียมปริมาณมากอาจนำไปสู่การเป็นโรคไตและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง

 

องค์การอนามัยโลกเผยข้อมูลว่า 1 ใน 10 ของประชากรทั่วโลกมีภาวะไตทำงานผิดปกติ และมีผู้ป่วยประมาณ 1 ล้านคนที่เสียชีวิตจากอาการไตวายเรื้อรังเนื่องจากไม่ได้เข้ารับการรักษา ขณะที่ประเทศไทยโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนประชากรเป็นโรคไตเรื้อรังสูง และเพิ่มสูงถึงร้อยละ 26 ในบางพื้นที่ (ข้อมูลจาก CKDNET ในปี 2565) ทั้งนี้ กองทุนบัตรทองในปี 2567 ต้องมีการเสียงบประมาณเพื่อการดูแลเกี่ยวกับโรคไตสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มักทราบว่าตนเป็นโรคไตเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3-4 หรือเมื่อมีอาการป่วยปรากฏให้เห็นแล้ว ทำให้ไม่สามารถบำบัดด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอย่างเดียวได้ และอาจต้องเข้ารักษาด้วยการฟอกไตที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึงปีละ 200,000 บาทต่อคนต่อปี

 

สำหรับวิธีการใช้งาน 'ส้อมวัดความเค็ม' เพียงแค่จุ่มปลายส้อมลงในอาหารส่วนที่เป็นของเหลว (อุณหภูมิไม่เกิน 50 องศาเซลเซียส) แล้วกดปุ่มเปิดการทำงาน ส้อมจะวิเคราะห์ปริมาณเกลือ (โซเดียมคลอไรด์) หรือโซเดียมในอาหาร และแสดงระดับความเค็มเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 

 

  • ไฟสีเขียว หมายถึงเค็มน้อย ความเข้มข้นของโซเดียม 0.1-0.5% (หรือมีปริมาณโซเดียม 1-5 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร) 
  • ไฟสีเหลือง หมายถึงเค็มปานกลาง ความเข้มข้นของโซเดียม 0.6-0.9%ฃ
  • ไฟสีแดง หมายถึงเค็มเกินไป ความเข้มข้นของโซเดียมมากกว่า 0.9%

 

โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้บริโภคเกลือไม่เกิน 5 กรัม/วัน หรือคิดเป็นโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน

 

หลังจากใช้งานแล้ว ก็เพียงล้างส่วนปลายส้อมที่สัมผัสอาหารด้วยน้ำยาล้างจานหรือสบู่ แล้วเช็ดให้แห้งต่อไป ทั้งนี้ ส้อมวัดความเค็มมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 6-7 เดือน โดยใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กที่วางจำหน่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงต้นแบบเพื่อเตรียมความพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีต่อไป

 

ญี่ปุ่นมี ช้อน-ชามลดโซเดียมเช่นกัน

 

แนวคิดการลดความเค็ม ที่สอดแทรกไปในอุปกรณ์การกินอาหาร เคยเกิดขึ้นแล้วในประเทศญี่ปุ่น แต่ไม่ใช่ในลักษณะของ 'ส้อมวัดความเค็ม' แต่เป็นช้อน-ชามที่ทำให้เวลาทานอาหารแล้วรู้สึกว่า 'เค็มขึ้น' ในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า 'อิเล็กคิโซรุโตะ (Erekisoruto)' ส่วนชื่อภาษาอังกฤษอาจเป็น 'อิเล็กซอลต์ (Elecsalt)' โดยจะปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ที่ไม่มีผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ ผ่านพื้นผิวของช้อนและชามเพื่อเข้าไปสู่อาหาร และแตกตัวเป็นไอออนอย่างโซเดียมคลอไรด์ที่ไปกระตุ้นการรับรสให้ผู้บริโภครู้สึกว่าอาหารมีรสชาติเค็มขึ้นกว่ารสชาติจริง 1.5 เท่า โดยไม่ต้องเติมเกลือลงในอาหารอีกด้วย!

 

Elecsalt

 

หรือจะเป็นช้อนไฟฟ้าของ Kirin ที่ก็ใช้เทคโนโลยีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ เพื่อกระตุ้นการรับรสเค็มบนลิ้นของผู้ใช้ด้วยเช่นกัน  แถมช้อนยังสามารถปรับระดับความเค็มได้ถึง 4 ระดับ ผ่านปุ่มควบคุมบนด้ามจับ ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากในงาน CES 2025 และช้อนนี้ยังได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) ในปี 2023 ในฐานะนวัตกรรมที่สร้างสรรค์และมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิถีการบริโภคอาหาร แต่ช้อนคันนี้วางจำหน่ายในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2024 มีราคาประมาณ 127 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4,400 บาทไทย!

 

ช้อนไฟฟ้าของ Kirin

 

ข่าวล่าสุด

MIXUE ไทยบริจาค 1 ล้านบาท เร่งช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้