'2 ยารักษามะเร็ง' ผลิตได้เองในไทย จากพระปรีชาสมเด็จเจ้าฟ้าฯ
ทำความรู้จัก 2 ตัวยารักษามะเร็งที่สามารถผลิตได้เองในประเทศไทย เพื่อลดการนำเข้าและเพิ่มโอกาสทางการรักษาให้แก่คนไทย จากพระปรีชาสามารถของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ
ด้วยพระปรีชาสามารถและพระเมตตาของศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทำให้ประเทศไทยวันนี้ มียามุ่งเป้ารักษามะเร็งเป็นของตัวเอง
การมี 'ยารักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า' ที่สามารถผลิตได้ในประเทศไทยนั้น ประโยชน์สำคัญคือ 'การเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยไทย' เนื่องจากยารักษามะเร็งโดยเฉพาะยามุ่งเป้ามีราคาสูง โดยตามประกาศสำหรับราคายา 'ทราสทูซูแมบ' ที่ได้มีการผลิตทดแทนนั้น หากนำเข้าจากต่างประเทศมีมูลค่าต่อการรักษาราว 1 ล้านบาท หรือราว 1 แสนบาทต่อเข็ม แม้จะมีการใช้สิทธิบัตรทองได้แต่ก็มีเงื่อนไขจำกัดในการรักษา
ยารักษาโรคมะเร็งชนิดมุ่งเป้า หรือ Targeted Therapy เป็นการใช้ยาที่มีความจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็งสามารถทำลาย หรือยับยั้งเซลล์มะเร็งเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดการทำลายเซลล์ปกติในร่างกาย เป็นการลดผลข้างเคียงจากการรักษาแบบดั้งเดิม เช่น เคมีบำบัด นอกจากนี้ยังสามารถสามารถปรับแผนการรักษาได้อย่างรวดเร็วตามลักษณะการดำเนินโรคของผู้ป่วยแต่ละราย
ทั้งนี้ ด้วยพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลต่อปัญหาสุขอนามัยของประชาชน สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงมุ่งมั่นและทรงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาด้านการแพทย์ และการสาธารณสุขของประเทศไทยมาโดยตลอด ด้วยทรงตระหนักถึงความยากลำบากของประชาชนในการเข้าถึงยาชีววัตถุที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรค เพราะมีราคาสูงมาก โดยเฉพาะยารักษาโรคมะเร็ง
พระองค์จึงทรงริเริ่มและทรงวางรากฐานการพัฒนายาชีววัตถุภายในประเทศ ภายใต้โครงการ “ศูนย์วิจัยและพัฒนาชีววัตถุ” โดยโปรดให้นักวิจัยของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ระดมสมองในการคิดค้นและพัฒนายาชีววัตถุที่ได้มาตรฐานทัดเทียมสากล และสามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากจะส่งผลให้ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองด้านยาชีววัตถุแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางยา และลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญอีกทางหนึ่งด้วย
ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ตามข้อมูลของอย. กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการอนุมัติการขึ้นทะเบียนยา 'HERDARA' ซึ่งมาจากงานวิจัยและพัฒนาชีววัตถุรักษามะเร็งคล้ายคลึงกับ 'ทราสทูซูแมบ' ซึ่งใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านม และมะเร็งชนิดอื่นๆ นับเป็นยาชีววัตถุตัวแรกของไทย โดยไม่ใช้การถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
เช่นเดียวกับ 'IMCRANIB 100' หรือ อิมครานิบ 100 ซึ่งเป็นยาซึ่งใช้รักษาโรคมะเร็งได้หลายประเภท เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดซีเอ็มแอล มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดฟิลาเดลเฟียบวก มะเร็งเนื้อเยื่อในระบบทางเดินอาหาร (GIST) มะเร็งผิวหนังชนิดหายาก (DFSP) ที่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosine kinase ยับยั้งการเติบโตและการกระจายของเซลล์มะเร็ง ทำให้สามารถควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดผลข้างเคียงเมื่อเทียบกับเคมีบำบัดแบบเดิม
แม้ว่ายาอิมมาทินิบนี้ จะสามารถเบิกจ่ายจากกองทุนสุขภาพได้ในหลายโรคแล้วก็จริง แต่ยังมีข้อจำกัดในบางโรค และบางระยะของโรคที่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายจากกองทุนสุขภาพในปัจจุบัน การผลิตได้เองในประเทศ จะช่วยแก้ปัญหาข้อจำกัดนี้ โดยการขยายขอบเขตการใช้ยาให้ครอบคลุมทุกข้อบ่งชี้ของการรักษาซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการควบคุมโรค ลดความทุกข์ทรมาน และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
สำหรับ อิมคานิบ 100 จะผลิตในโครงการโรงงานผลิตเภสัชภัณฑ์ในพระดำริ ตั้งอยู่ ณ พระตําหนักพิมานมาศ อําเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2563 เพื่อให้เป็นโรงงานต้นแบบผลิตเภสัชภัณฑ์ที่จะเข้ามาเพิ่มขีดความสามารถการวิจัยและการพัฒนาเภสัชภัณฑ์สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งให้ต่อเนื่องสมบูรณ์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำที่มีความทันสมัยและครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย ทั้งยังเป็นโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็งแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานวิธีการที่ดีในการผลิตยาและการกระจายยา GMDP PIC/s ตามมาตรฐานสากล
ทั้งนี้ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โดยศูนย์มะเร็งวิทยา ได้พิจารณานำยาอิมครานิบ 100มาใช้ในฐานะโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านโรคมะเร็ง ได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่สำคัญในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์และศักยภาพของการผลิตยาคุณภาพสูงในประเทศ ไปสู่การนำไปใช้จริงกับผู้ป่วยอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป