Exclusive ความก้าวหน้า ‘ATMPs’ จุฬาฯ ความหวังคนไทยมาไกลแค่ไหน?
โพสต์ทูเดย์ พาติดตามความก้าวหน้า ‘ATMPs’ จุฬาฯ ที่จะเปิดให้บริการ CAR-T Cell ในรพ.ภายใต้งานวิจัยปีนี้ เป็นความก้าวหน้าที่คนไทยจะได้เห็นเร็วที่สุดที่จะเกิดขึ้น!
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เห็นการพัฒนางานวิจัยผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medicinal Products: ATMPs) อย่างต่อเนื่องจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ครั้งที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักคำว่า ATMPs ซึ่งก็คือเทคโนโลยี ยีนและเซลล์บำบัด ที่เปรียบเสมือน ‘ยาใหม่’ ของโลก
คนไทยบางรายอาจ รู้จัก CAR-T Cell (คาร์ทีเซลล์) ก่อนคำว่า ATMPs และรู้ว่านี่คือเทคโนโลยีสำหรับการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งเม็ดเลือดขาว ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบใหม่ ที่จะช่วยหยิบยื่นความหวังให้กับผู้ป่วยมะเร็ง
งานวิจัยดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2563 ประกอบขึ้นด้วยแรงสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ปัจจุบันในปี 2568 ก็เรียกได้ว่าเข้าสู่ ‘โค้งสุดท้าย’ ก่อนที่จะนำมาให้บริการภายใน‘โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ’ ที่พร้อมเดินหน้าภายในปีนี้
หันกลับมามองภาพใหญ่ของประเทศไทย ก็นับเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับนโยบาย ‘เศรษฐกิจสุขภาพ’ ของกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้วางกรอบนโยบายสนับสนุน ATMPs ขึ้นมา และทำให้ทุกภาคส่วนหันมาขยับขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งในเชิงของกฎหมาย การวิจัย และการผลิต
หลายโรงเรียนคณะแพทย์เตรียมสร้าง Facility เช่น สถานที่ผลิต สถานที่วิจัย หรืออุปกรณ์เครื่องมือใหม่ๆ ส่วนภาคเอกชนก็เริ่มมองหาความร่วมมือ และเดินหน้าการวิจัยและผลิต ATMPs หรือ ‘ยาใหม่’ อย่างเต็มตัว จากเดิมที่ทำเพียงไม่กี่เจ้าและเน้นนำเข้าในราคาแพง
นี่จึงเป็นโอกาสอันดี ที่ โพสต์ทูเดย์ จะได้พูดคุยถึงความคืบหน้าของโครงการ ‘ATMPs’ ที่เกิดขึ้นภายในคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย อีกแหล่งงานวิจัยด้าน ATMPs ที่ก้าวหน้าที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย!
กับ นายแพทย์ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผอ.รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และ นายแพทย์จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ รองคณบดี ฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
จุดเริ่มต้นของ จุฬาฯ กับ ATMPs ‘เพราะอยากให้คนไทยเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น’
นายแพทย์ฉันชาย สิทธิพันธ์ุ กล่าวว่า ทางจุฬาฯ มีเทคโนโลยีใหม่ที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้การรักษามีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น โดยเรียกการรักษาในกลุ่มนี้โดยรวมว่า ATMPs เป็นลักษณะของการรักษาโดยใช้เซลล์ ยีน หรือว่าเนื้อเยื่อ ซึ่งจะทำให้การตอบสนองของบางโรคดีขึ้น จัดว่าเป็น ‘ยา’ ชนิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่ยาที่เป็นสารสังเคราะห์ ไม่ได้เป็นเคมี แต่เป็นการใช้เซลล์และยีนจากร่างกายของผู้ป่วยมาแก้ไขต้นเหตุของโรค
“เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถจะนำวิธีการมาใช้ ก็จะทำให้การรักษาได้ผลดีมากขึ้น บางกรณีสามารถไปรักษาที่ต้นเหตุได้ รวมไปถึงมีผลข้างเคียงที่ไม่ได้สูงมากนัก
สิ่งที่จุฬาฯ ทำก็เพื่อให้คนไทยเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น การรักษามีประสิทธิภาพและผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในต่างประเทศมีราคาแพงมาก บางตัวราคาแตะหลัก 10 ล้าน บางโรคสูงถึง 100 ล้านบาท”
ไม่ใช่แค่เป็นภาระเฉพาะตัวผู้ป่วยเท่านั้น เมื่อมองภาพรวมของประเทศไทย ภาระค่าใช้จ่ายด้านยาอยู่ที่ราว 2-5 หมื่นล้านบาทต่อปี และส่วนใหญ่เป็นการพึ่งพายาจากต่างชาติ ซึ่ง ผอ.รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มองว่าเป็นเรื่องที่ต้องลงมือแก้ไข
ยาและการรักษาคือความมั่นคงของประเทศ ผมคิดว่าถ้าเราสามารถผลิตสิ่งเหล่านี้ในประเทศได้ก็จะทำให้คนเข้าถึงในราคาถูกลงด้วย
ด้าน นายแพทย์จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ เสริมว่านอกเหนือไปจากประเด็น ‘การเข้าถึงและประสิทธิภาพการรักษา’ แล้ว สาเหตุที่จุฬาฯ พัฒนาเรื่องงานวิจัยด้าน ATMPs ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจุฬาฯ มองหาเทคโนโลยีใหม่อยู่เสมอ และเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต ซึ่งเป็นบทบาทและหน้าที่สำคัญในฐานะโรงเรียนแพทย์
“ ATMPs ก็เป็นอีกเทคโนโลยีการรักษา ซึ่งนักวิจัยเรามองว่าจะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต การมองแบบนี้คือข้อแตกต่างระหว่างการเป็นโรงพยาบาลอย่างเดียวกับการที่เป็นโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ด้วย
เพราะเราไม่ได้มุ่งแค่การรักษา แต่ทุกการตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานที่ว่าจะพัฒนา ‘วันพรุ่งนี้’ ของวงการแพทย์ไทยให้ดีขึ้นได้อย่างไร
ฉะนั้นเราจึงเริ่มขยับเร็ว โดยมีการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีตัวนี้ มาตั้งแต่สมัยสร้างตึกภูมิสิริ (ตึกภูมิสิริเปิดให้บริการในปี พ.ศ.2558) ”
จากห้องวิจัย สู่ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ต่างๆที่พัฒนาผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง จุฬาฯ
ศูนย์ความเป็นเลิศต่างๆที่พัฒนาผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medicinal Products: ATMPs) ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอีกหนึ่งประจักษ์พยานสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า จุฬาฯ ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีด้าน ATMPs
นายแพทย์ฉันชาย เล่าว่า ภายในคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ มีการจัดตั้งศูนย์ฯ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยด้าน ATMPs อยู่หลายแห่ง ได้แก่ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านสเต็มเซลล์และเซลล์บำบัด ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง และศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medicinal Products: ATMPs) ซึ่งพัฒนามาจากหน่วยวิจัยภายในของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
หนึ่งในงานวิจัยเด่นของศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดก็คือ CAR-T Cell (คาร์ทีเซลล์) สำหรับรักษามะเร็งในระบบเลือด มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านสภาพัฒน์ จนทำให้โครงการนำร่องใช้ในมนุษย์ได้สำเร็จ
“ ปัจจุบัน ศูนย์ฯ ได้เปิดอย่างเป็นทางการแล้วครับ โดยมีระบบการผลิตที่ได้มาตรฐานระดับ GMP และสถานที่พร้อมดำเนินการ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการขอรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อให้สามารถเริ่มให้บริการรักษาภายใต้กรอบโครงการวิจัยภายในปีนี้” นายแพทย์ฉันชายกล่าว
นายแพทย์จิรุตม์ ในฐานะรองคณบดี ฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ อธิบายเพิ่มเติมว่า CAR-T Cell (คาร์ทีเซลล์) คือ การนำเอาเซลล์เม็ดเลือดขาวมาผ่านกระบวนการทางห้องปฏิบัติการเพื่อปรับสภาพให้สามารถนำไปต่อสู้กับโรคได้ เรียกว่าเป็นภูมิคุ้มกันบำบัด โดยมากจะใช้กับกลุ่มมะเร็ง ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น
บางครั้งโรคมะเร็ง มีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันของมนุษย์ จึงต้องนำเซลล์มาสอนเทคนิคให้รู้จักเซลล์มะเร็ง ข้อดีคือเซลล์ที่นำกลับเข้าไปในร่างกายจะจำเพาะกับเซลล์มะเร็ง และไม่ไปฆ่าเซลล์ปกติ แตกต่างจากการให้ยาทั่วไปที่จะไปฆ่าเซลล์ทุกชนิด มุ่งรักษาที่ต้นเหตุ ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้น ลดผลข้างเคียงลง
โดยขณะนี้ CAR-T Cell (คาร์ทีเซลล์) ของคณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ ผ่านขั้นตอนการวิจัย อยู่ในขั้นของการใช้ในมนุษย์แล้ว ตอนนี้กำลังพัฒนากระบวนการผลิตเพื่อให้ได้ตามมาตรฐานยา ซึ่งจะทำให้สามารถเอาไปใช้ในวงกว้างได้
“ สำหรับคาร์ทีเซลล์จะเป็นการรักษาโรคมะเร็ง 2 กลุ่มใหญ่ เรียกว่ามะเร็งเม็ดเลือดขาว และในกลุ่มมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เรียกว่าลิมโฟมา ซึ่งสำหรับที่จุฬาฯ นำมาใช้ทั้งสองส่วนแล้วและได้ผลดี มากกว่านั้นคือเราก็เริ่มมีการนำเอามาใช้กับ ‘มะเร็งก้อน’ ซึ่งอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา รวมไปถึงโรค SLE หรือโรคพุ่มพวง”
รวบงานวิจัย ATMPs ในจุฬาฯ ไม่จบที่คาร์ทีเซลล์
นอกจาก CAR T cells แล้ว นายแพทย์จิรุตม์เปิดเผยว่า มีศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medicinal Products: ATMPs) ที่อาคารภูมิสิริ ซึ่งวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับมีเซนไคมอลสเต็มเซลล์ (MSCs) หรือเซลล์ต้นกำเนิด และทำวิจัยเกี่ยวกับเนื้อเยื่อ
“ศูนย์ฯ ดังกล่าวจะพัฒนาเพื่อใช้เซลล์รักษาโรคอื่น โดยมีทีมวิจัยที่มีความพร้อม และขณะนี้สถานที่ผลิตยาได้รับใบอนุญาตจาก อย.แล้ว ตอนนี้อยู่ในกระบวนการที่จะเริ่มนำร่องผลิตยาเพื่อใช้ในขั้นตอนวิจัยกับผู้ป่วย”
อีกหนึ่งศูนย์ฯ ที่ทำวิจัยเกี่ยวกับ ATMPs ในจุฬาฯ คือ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านสเต็มเซลล์และเซลล์บำบัด ซึ่งนายแพทย์จิรุตม์ เปิดเผยว่ามีการวิจัยและพัฒนาในส่วนของการใช้สเต็มเซลล์กับ ‘เยื่อบุกระจกตา’ มาอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยคนที่การมองเห็นมีปัญหาจากกระจกตาเสียหาย
“ จุฬาฯ วางแผนว่าจะดำเนินการต่ออีกหลายโครงการ เช่น เรากำลังมองหาการรักษาด้วยยีนบำบัดในผู้ป่วยเด็กซึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ที่ราคายาจากต่างประเทศแพงมาก เป็นโครงการที่ดำเนินการอยู่ เพราะตอนนี้เราเป็นศูนย์ฯ ของโรคหายากในประเทศไทย เพราะฉะนั้นการหาสาเหตุของโรคหายาก รวมไปถึงใช้วิธีการรักษาด้วยเทคโนโลยีแบบใหม่ เช่น ATMPs เข้ามาก็จะได้รับผลลัพธ์ที่ดีขึ้น”
ความร่วมมือ 5 สถาบัน เพื่อดันวิจัย ATMPs สู่การใช้งานจริง
จุฬาฯ ร่วมมือกับอีก 4 สถาบันโรงเรียนแพทย์ เพื่อผลักดันให้ ‘วิจัยออกสู่การใช้งานจริง’ ซึ่งเป็นโมเดลความร่วมมือที่เกิดขึ้น เพื่ออุดรอยรั่วของ ‘เงินลงทุน’ และ ‘ความเชี่ยวชาญ’ เป็น Thailand Hub of Talents in Cancer Immunotherapy
“เทคโนโลยี ATMPs ต้องการความเชี่ยวชาญหลายอย่างมาประกอบกัน ทำคนเดียวไม่ได้ จึงต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และส่งเสริมซึ่งกันและกันทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ” นายแพทย์ฉันชาย สิทธิพันธุ์ กล่าว
ทั้งนี้ การลงทุนด้านเทคโนโลยีเป็นการลงทุนที่สูง แม้จุฬาฯ จะเป็นผู้ลงทุน แต่จุฬาฯ มีแนวคิดว่า ‘เราเป็นสถาบันต้นแบบ’ เพราะฉะนั้นหากมีสถาบันอื่นมาช่วยใช้งานด้วย ก็จะเกิดความคุ้มค่าขึ้น ‘หากต่างคนต่างทำก็จะไม่คุ้ม เนื่องจากประเทศไทยไม่ใหญ่มาก การที่จะต้องมีปริมาณคนไข้หรือทรัพยากรมาป้อนให้ทุกที่พร้อมกันนั้นเป็นเรื่องยาก’
อีกทั้ง เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นจึงต้องมีการสร้างเครือข่ายที่จะใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทางจุฬาฯ มีการเริ่มต้นในเชิงโครงสร้างพื้นฐานก่อนที่อื่น และแพลทฟอร์มที่สร้างขึ้นเป็นแพลทฟอร์มเปิดที่นักวิจัยอื่นๆ สามารถเข้ามาดำเนินการได้
“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง หากนักวิจัยคนไหนมีไอเดีย รู้ว่าต้องการทำอะไร รักษาคนไข้กลุ่มไหน แต่ขาดสถานที่ผลิต จ้างต่างประเทศก็ไม่คุ้ม ก็สามารถมาผลิตที่นี่ได้ เราก็สนับสนุนเรื่องนี้"
.
.
.
ทั้งนี้ อย่างที่นายแพทย์ฉันชายได้พูดไว้ว่า ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านภูมิคุ้มกันบำบัด จุฬาฯ จะเปิดให้บริการ CAR-T Cell (คาร์ทีเซลล์) ในโรงพยาบาลและภายใต้งานวิจัยภายในปีนี้
เท่ากับว่า ศูนย์ฯ แห่งนี้จะเป็นความก้าวหน้าด้าน ATMPs ที่คนไทยจะได้เห็นเร็วที่สุดที่จะเกิดขึ้น ... สำหรับ ‘คนไทย’ จะได้เข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับ ‘นักวิจัย’ จะมีพื้นที่ต่อยอดไอเดียที่ถูกต้องตามมาตรฐาน และสำหรับ ‘ประเทศ’ นั่นคือการลงทุนระยะยาว
“ การมีศูนย์ฯ ลักษณะนี้ มีข้อดี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือช่วยกระบวนการผลิตเพื่อนำไปรักษา แต่อีกส่วนคือ ในระหว่างการผลิตนั้นต้องมีแพทย์ มีอาจารย์แพทย์ที่มีความรู้เฉพาะทางเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็จะเกิดการฝึกอบรมเพื่อให้แก่คนรุ่นต่อไปได้นำไปใช้ต่อกับคนไข้
การมีศูนย์ฯ ไม่ได้เฉพาะให้คนไทยเข้าถึงการรักษาเท่านั้น แต่มีเพื่อสร้างศักยภาพโดยภาพรวมของประเทศด้วย ไม่อย่างนั้นเราคงเลือกที่จะไปสร้างศูนย์ฯ แบบนี้กับภาคเอกชน ซึ่งได้ผลอย่างเดียวคือด้านการรักษา แต่ไม่สามารถทำเรื่องการสร้างศักยภาพของประเทศ คือ การลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างทรัพยากรบุคคล อันเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพในระดับประเทศ
นายแพทย์จิรุตม์ทิ้งท้าย.


