เตรียมปรับโฉม 'โรงรับจำนำรัฐ' สู่ 'ร้านสินค้ามือสองหลุดจำนำ'
พม. เผยแนวคิดปรับโฉม 'โรงรับจำนำเพื่อสังคมของรัฐ' สู่ 'ร้านสินค้ามือสองหลุดจำนำ' หวังช่วยกลุ่มเปราะบางในภาวะยุคเศรษฐกิจเกิดปัญหา!
นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แถลงข่าววันนี้ (5 มิถุนายน 2568) เผยแนวคิดของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) ที่จะเปิดร้านสินค้ามือสองหลุดจำนำ จากโรงรับจำนำเพื่อสังคมของรัฐ เพื่อช่วยกลุ่มเปราะบางด้านเศรษฐกิจ
นายธเนศพล กล่าวว่าจากกรณีที่ได้ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานโรงรับจำนำเพื่อสังคมในประเทศออสเตรเลีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โรงรับจำนำและร้านซื้อขายสินค้ามือสองในประเทศออสเตรเลียนั้น มีอัตราการคิดดอกเบี้ย อยู่ที่ 30% ต่อเดือน วงเงินกู้ยิ่งสูงอัตราดอกเบี้ยลดลงเหลือ 15% ต่อเดือน โดยการรับจำนำของประเทศออสเตรเลีย ค่อนข้างจะมองในเรื่องธุรกิจ และมีเอกชนเป็นผู้ประกอบการทั้งหมด ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการจากรัฐบาล ต่ออายุใบอนุญาตทุกปี
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจมีความต่อเนื่อง หลังจากการรับจำนำแล้วคือหลักประกันที่เอามาจำนำ หากไม่มีการติดต่อชำระหรือส่งดอกเบี้ยเมื่อครบสามเดือนตามกำหนดเวลาทรัพย์ก็จะหลุดจำนำเป็นกรรมสิทธิ์ของร้านที่รับจำนำ แล้วจะนำมาเป็นสินค้าในร้านขายของมือสอง เพื่อทำกำไรอีกทอดหนึ่ง
ในขณะเดียวกันประธานและคณะกรรมการอำนวยการ สธค. ได้ให้ความเห็นว่า
ที่ผ่านมาหลักประกันที่ลูกค้านำมาจำนำที่สถานธนานุเคราะห์และหลุดจำนำนั้น ประเทศไทยใช้วิธีการขายเหมาไปให้ผู้ประกอบการที่มาขอรับซื้อ ซึ่งอาจจะต้องปรับเปลี่ยน
โดยหลังจากนี้ต้องพิจารณาว่า อาจจะทำเป็นสถานที่จำหน่ายสินค้ามือสองในราคาถูก ซึ่งเราไม่ได้พูดเรื่องประเด็นของการสร้างผลประโยชน์ให้กับสถานธนานุเคราะห์ แต่กำลังพูดถึงเรื่องของการปรับรูปแบบของโรงรับจำนำ มาเป็นการนำเสนอหน้าร้าน เป็นตู้ขายสินค้า ปรับเคาน์เตอร์การรับจำนำให้อยู่ด้านใน เพื่อลดภาพจำของการเข้ามาจำนำ และยังเป็นการให้โอกาสกับผู้ที่ประกอบอาชีพที่เป็นกลุ่มเปราะบาง หรือผู้ที่มีรายได้น้อยได้ ในการที่จะหาของหลุดจำนำ ที่เป็นของใช้ในครัวเรือน เครื่องมือช่าง หรืออุปกรณ์ที่จะนำไปใช้ประกอบอาชีพได้ในราคาถูก ซึ่งถือเป็นแนวคิดใหม่ที่ สธค. น่าจะเริ่มได้ภายในปีนี้
นอกจากนั้น จากสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเกิดปัญหาขึ้นขณะนี้ นโยบายของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้มอบหมายให้ สธค. ไปพิจารณาในเรื่องของการขยายสาขาสถานธนานุเคราะห์ เพื่อให้บริการกับพี่น้องกลุ่มเปราะบาง และประชาชนทั่วไป ผู้มีรายได้น้อย ให้ครอบคลุมในพื้นที่ได้มากเพิ่มขึ้น
ถ้าเป็นไปได้จะดำเนินการให้ครบทั่วประเทศ อย่างน้อยที่สุดในแต่ละจังหวัดจะได้มีสถานธนานุเคราะห์ ซึ่งปัจจุบัน กระทรวง พม. มีสถานธนานุเคราะห์ จำนวน 40 กว่าแห่ง นับว่าเป็นแนวทางที่จะก่อให้เกิดประโยชน์กับกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าถึงแหล่งเงินอย่างธนาคาร
อย่างไรก็ตาม รายได้จากการเปิดร้านจำหน่ายของหลุดจำนำ หรือสิ่งของในร้านค้าที่ตั้งคือ สามารถนำมาทำกิจกรรม CSR ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ผู้ประสบปัญหาทางสังคม กลุ่มลูกค้าของ สธค. ที่ประสบความยากลำบากเฉพาะหน้าให้ได้รับความช่วยเหลือได้ทันท่วงที.


