posttoday

“เสว่หลง 2” จีนใช้เทคโนโลยีกรุยทางสร้าง “เส้นทางสายไหมขั้วโลก"

28 พฤษภาคม 2568

โพสต์ทูเดย์พาไปรู้จัก “เสว่หลง 2” ที่เพิ่งเข้ามาจอดเทียบในเมืองไทย เรือลำนี้คือยุทธศาสตร์สำคัญของจีนที่ใช้เทคโนโลยีกรุยทางเปิด “เส้นทางสายไหมขั้วโลก”

KEY

POINTS

  • จีนจัดเต็ม พัฒนาเรือตัดน้ำแข็งลำแรกเองในชื่อ “เสว่หลง 2”

  • ยุทธศาสตร์เดินหน้าผลักดัน “Polar Silk Road” เชื่อมจีน-ยุโรปผ่านอาร์กติก

  • เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เป็นกลไกสู่การสร้างอำนาจแบบใหม่ของจีน

ไม่ได้มีแค่ถนน รถไฟ หรือท่าเรือที่จีนลงทุนอย่างจริงจัง

แต่ “เส้นทางสายไหม” ในยุคใหม่ของจีน ยังขยายไปไกลถึงขั้วโลก!

 

เส้นทางนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Polar Silk Road เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “Belt and Road Initiative” หรือ BRI ที่จีนผลักดันอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่จีนใช้ตอกย้ำบทบาทตัวเองในพื้นที่อาร์กติก ก็คือ เรือ “เสว่หลง 2” (Xuelong 2) เรือวิจัยตัดน้ำแข็งสุดล้ำที่สร้างโดยฝีมือคนจีนทั้งลำ

โพสต์ทูเดย์ จะพาไปรู้จักกับเรือลำนี้ พร้อมเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง และความเชื่อมโยงกับนโยบายใหญ่ที่จีนไม่ได้ทำเล่นๆ แต่หวังผลระยะยาวทั้งทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และภูมิรัฐศาสตร์

 

เรือตัดน้ำแข็ง เสว่หลง 2

 

จับตา! เสว่หลง 2 เมื่อจีนสร้าง “เรือตัดน้ำแข็งลำแรก” ของประเทศได้สำเร็จ

 

“เสว่หลง” แปลว่า “มังกรหิมะ”  เป็นเรือตัดน้ำแข็งรุ่นที่สองของจีน แต่เป็นรุ่นที่พิเศษสุดเพราะเป็นลำที่จีนออกแบบและสร้างเองทั้งหมดเป็นครั้งแรก! โดยเริ่มต้นโครงการในช่วงปลายปี 2016 และเปิดใช้งานในปี 2019 ภายใต้การพัฒนาของ Polar Research Institute of China ร่วมกับ Jiangnan Shipyard

ช่วงเวลานั้นเป็นจังหวะที่จีนเริ่มผลักดันโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) อย่างจริงจัง และมองหา “เส้นทางใหม่” ทั้งบนบก ใต้ทะเล และแม้แต่ใน “ขั้วโลก” ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ห่างไกลจากจีนกว่า 5,000 กิโลเมตร และอยู่ภายใต้การควบคุมของประเทศในเขตอาร์กติก เช่น รัสเซีย แคนาดา และประเทศแถบสแกนดิเนเวีย

 

เรือเสว่หลงจอดเทียบที่ท่าเรือจุกเสม็ดไปเมื่อวันที่ 19-23 พฤษภาคมที่ผ่านมา

 

"เรือตัดน้ำแข็ง"  ไม่ใช่เรือทั่วไป แต่เป็นเรือที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อเดินทางผ่านทะเลน้ำแข็งหนา โดยใช้โครงสร้างเรือและระบบขับเคลื่อนพิเศษที่สามารถ “ตัด” หรือบดน้ำแข็งให้แตก เพื่อเปิดเส้นทางในพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งตลอดปี เช่น อาร์กติกหรือแอนตาร์กติก  เรือแบบนี้มีอยู่ไม่มากในโลก ส่วนใหญ่พัฒนาโดยประเทศที่อยู่ในเขตหนาว เช่น รัสเซีย ฟินแลนด์ หรือแคนาดา โดยรัสเซียมีมากที่สุดกว่า 40 ลำ ในขณะที่จีนเพิ่งเริ่มต้นพัฒนาเทคโนโลยีนี้อย่างจริงจังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ดังนั้น การที่จีนสามารถพัฒนา เสว่หลง 2 ขึ้นเอง จึงไม่ใช่แค่การมีเรือเพิ่มอีกลำ แต่เป็น ก้าวกระโดดด้านเทคโนโลยี และ กุญแจสู่การเปิดเส้นทางการค้าและอิทธิพลใหม่ในเขตอาร์กติก ซึ่งจะเชื่อมโยงโดยตรงกับยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า Polar Silk Road

 

เส้นทางสายไหมแห่งขั้วโลก

 

“Polar Silk Road” หรือเส้นทางสายไหมแห่งขั้วโลก เป็นแนวคิดที่จีนผลักดันมาตั้งแต่ปี 2018 โดยมองว่าอาร์กติกจะเป็น “เส้นทางเดินเรือใหม่” ที่ช่วยให้สินค้าจากจีนไปยุโรปได้เร็วขึ้นกว่าการผ่านคลองสุเอซถึง 30–40%  เนื่องจากอุณหภูมิโลกจะอุ่นขึ้น จนทะเลน้ำแข็งละลายและเปิดทางให้เรือเดินสมุทรผ่านได้บ่อยขึ้นนั่นเอง

 

การศึกษาล่าสุดในปี 2023 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications พบว่าอาร์กติกอาจจะไม่มีน้ำแข็งในช่วงฤดูร้อนภายในปี 2050 และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นก่อนปี 2030 แม้จะมีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญก็ตาม

 

นอกจากมิติด้านการค้า เส้นทางนี้ยังเปรียบเสมือน "แหล่งขุดทอง" ยุคใหม่ เพราะเต็มไปด้วยโอกาสด้านพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ใต้แผ่นดินและทะเลน้ำแข็ง เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ แร่หายาก และเป็นพื้นที่ที่ประเทศมหาอำนาจกำลังจับตามองว่าผู้ใดจะมีสิทธิในการใช้ประโยชน์ก่อน

 

การประเมินของ U.S. Geological Survey (USGS) ในปี 2008 พบว่าอาร์กติกมีทรัพยากรน้ำมันที่ยังไม่ถูกค้นพบประมาณ 13% ของปริมาณทั่วโลก และก๊าซธรรมชาติประมาณ 30%

 

การพัฒนาเรือ “เสว่หลง 2” จึงไม่ใช่แค่การสร้างเรือเพื่อวิจัย แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการวางรากฐานให้จีนมีบทบาทในภูมิรัฐศาสตร์ของขั้วโลก ที่จะกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของโลกในอนาคตอันใกล้!

 

“เสว่หลง 2” จีนใช้เทคโนโลยีกรุยทางสร้าง “เส้นทางสายไหมขั้วโลก"

 

 

สมรภูมิใหม่ที่ขั้วโลก เมื่อชาติมหาอำนาจพยายามเข้าไปจับจอง

 

แม้จีนจะไม่มีพื้นที่ชายฝั่งติดอาร์กติก แต่กลับกลายเป็น “ผู้เล่นสำคัญ” ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยในปี 2004 จีนตั้งสถานีวิจัยถาวรแห่งแรกที่ขั้วโลกเหนือชื่อ “Yellow River Station” บนหมู่เกาะสฟาลบาร์ (Svalbard) ของนอร์เวย์ ก่อนจะส่งเรือ “เสว่หลง” ลำแรกไปสำรวจขั้วโลกเหนือในปี 2010 ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้จีนประกาศตัวว่า “เป็นประเทศใกล้อาร์กติก” (Near-Arctic State)

 

อาจจะงงๆ ว่าไม่ได้มีพื้นที่ใกล้อาร์กติก แต่ประกาศเป็นประเทศใกล้อาร์กติกได้หรือ?

 

แม้จีนจะไม่มีพื้นที่ชายฝั่งติดกับอาร์กติก แต่ในปี 2018 จีนได้ประกาศตนเองว่าเป็น "ประเทศใกล้อาร์กติก" (Near-Arctic State) ผ่านเอกสารนโยบายอาร์กติกฉบับแรก โดยให้เหตุผลว่าจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ใกล้กับอาร์กติกมากที่สุด และได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคนี้ เช่น การละลายของน้ำแข็งที่ส่งผลต่อสภาพอากาศและระบบนิเวศในจีนเอง (China’s Arctic Policy, The State Council, 2018)

แม้จะไม่ใช่ประเทศเดียวที่ไม่มีพรมแดนติดอาร์กติก แต่จีนก็เป็นประเทศแรก ๆ ที่ใช้คำว่า “ใกล้อาร์กติก” อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นความพยายามเชิงยุทธศาสตร์ในการสร้างความชอบธรรมต่อบทบาทในภูมิภาค ซึ่งก่อนหน้านี้ในปี 2013 จีนได้รับสถานะผู้สังเกตการณ์ถาวรของสภาอาร์กติก (Arctic Council) ซึ่งเป็นเวทีความร่วมมือหลักระหว่างประเทศที่มีดินแดนในเขตอาร์กติก เช่น รัสเซีย สหรัฐ แคนาดา นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก และไอซ์แลนด์

 

การได้รับสถานะนี้ช่วยให้จีนสามารถเข้าร่วมการประชุม แลกเปลี่ยนข้อมูลวิจัย และติดตามการพัฒนาในภูมิภาคนี้ได้อย่างใกล้ชิด

 

สำหรับประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีดินแดนในอาร์กติก แต่ก็ได้รับสถานะผู้สังเกตการณ์เช่นกัน ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย อิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ สิงคโปร์ สเปน และสหราชอาณาจักร (Arctic Council - Observers)  สถานะผู้สังเกตการณ์จึงเป็นอีกช่องทางสำคัญที่จีนและประเทศอื่น ๆ ใช้เป็นกลไกในการเข้าสู่ “สมรภูมิอาร์กติก” อย่างถูกต้องตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ

 

ถ้าจะพูดถึงว่าใครเป็นมหาอำนาจในดินแดนอาร์กติก?

 

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น รัสเซียถือเป็นผู้ครองบทบาทหลักในอาร์กติกมายาวนาน โดยมีเรือตัดน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์มากที่สุดในโลก และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตอาร์กติกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุคโซเวียต ขณะที่สหรัฐเน้นบทบาททางทหารและการปกป้องสิทธิเขตแดนในอลาสกา ส่วนแคนาดาและนอร์เวย์ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและสิทธิของชนพื้นเมือง แต่ก็เริ่มจับมือกับเอกชนเพื่อพัฒนาเส้นทางเดินเรือและแหล่งพลังงานเช่นกัน และจีนก็กระโดดเข้าไปเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นสำคัญลำดับถัดมา!

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า “อาร์กติกไม่ใช่พื้นที่ว่างเปล่า” หากแต่เป็นเวทีที่ประเทศต่าง ๆ กำลังแสดงบทบาท และการที่จีนเร่งพัฒนาเรือวิจัยอย่าง เสว่หลง 2 ก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่วางไว้บนกระดานภูมิรัฐศาสตร์แห่งนี้

 

“เสว่หลง 2” จีนใช้เทคโนโลยีกรุยทางสร้าง “เส้นทางสายไหมขั้วโลก"

 

เสว่หลง 2 เทคโนโลยีเบิกทางสู่ประตูภูมิรัฐศาสตร์

 

ในเชิงเทคโนโลยี “เสว่หลง 2” เป็นเรือตัดน้ำแข็งลำแรกที่จีนออกแบบและต่อเรือได้เองทั้งหมด มีความยาว 122.5 เมตร กว้าง 22.3 เมตร และมีระวางขับน้ำ 13,996 ตัน สามารถตัดน้ำแข็งหนา 1.5 เมตรได้ต่อเนื่องที่ความเร็ว 2–3 นอต โดยสามารถเดินทางได้ไกลถึง 20,000 ไมล์ทะเล โดยไม่ต้องเติมเสบียง และรองรับการทำงานในอุณหภูมิต่ำสุดถึง -30 องศาเซลเซียส

สิ่งที่ทำให้ “เสว่หลง 2” แตกต่างจากรุ่นแรก คือการออกแบบให้มีระบบนำทางด้วยดาวเทียม ระบบเรดาร์ตรวจจับธารน้ำแข็งแบบความละเอียดสูง และห้องวิจัยลอยน้ำที่สามารถส่งอุปกรณ์ลงใต้ทะเลเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำแข็ง ดิน และสิ่งมีชีวิตใต้สมุทรแบบเรียลไทม์ โดยมีระบบแสดงผลและประมวลผลข้อมูลทันทีบนเรือ

 

เรือลำนี้สามารถปฏิบัติการได้ทั้งในมหาสมุทรอาร์กติกและแอนตาร์กติก ทำให้จีนกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีขีดความสามารถเชิงวิศวกรรมระดับนี้

 

การที่เรือลำนี้สามารถปฏิบัติการได้ทั้งในมหาสมุทรอาร์กติกและแอนตาร์กติกเป็นสิ่งสำคัญที่สะท้อนถึงความเก่งกาจของจีน! เพราะสองภูมิภาคที่กล่าวถึง มีลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศแตกต่างกันอย่างมาก

อาร์กติกเป็นมหาสมุทรที่ล้อมรอบด้วยทวีป มีแผ่นน้ำแข็งลอยปกคลุมผิวน้ำ ในขณะที่แอนตาร์กติกเป็นทวีปที่มีแผ่นน้ำแข็งหนาคลุมพื้นดิน ซึ่งหมายถึงรูปแบบและความหนาแน่นของน้ำแข็งก็ไม่เหมือนกัน ความท้าทายจึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

การที่ เสว่หลง 2 สามารถปฏิบัติภารกิจวิจัยได้ทั้งสองแห่งในลำเดียว เป็นสิ่งที่เรือตัดน้ำแข็งทั่วไปไม่สามารถทำได้ เพราะต้องอาศัยการออกแบบที่ปรับให้เหมาะกับทั้งรูปแบบน้ำแข็งลอยตัวในอาร์กติกและน้ำแข็งหนาบนฝั่งในแอนตาร์กติก โดยยังต้องคงไว้ซึ่งความมั่นคงในการเดินเรือ ความสามารถในการนำทางในสภาพอากาศสุดขั้ว และระบบสนับสนุนงานวิจัยที่ครอบคลุม

 

ด้วยความสามารถนี้ ทำให้จีนกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่สามารถมีบทบาทในเวทีวิจัยระดับโลกทั้งสองซีกโลกเหนือและใต้ เทียบเท่าชาติผู้นำด้านวิศวกรรมเรือขั้วโลกอย่างรัสเซีย สหรัฐอเมริกา หรือฟินแลนด์ ซึ่งต้องใช้เวลาหลายทศวรรษในการพัฒนาเทคโนโลยีเช่นนี้ ความสามารถนี้ยังเสริมยุทธศาสตร์ของจีนในการเพิ่มบทบาทในเวทีภูมิรัฐศาสตร์ขั้วโลก และใช้การวิจัยเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างความชอบธรรมทางการทูตและอำนาจอ่อน (soft power) ในเวทีนานาชาติอย่างที่พูดไป ว่าไม่ใกล้ขั้วโลก แต่ก็ใกล้ได้นั่นแล!

.

.

เพราะฉะนั้นแล้ว เรือ “เสว่หลง 2” จึงไม่ใช่แค่เรือวิจัย แต่คือ กลยุทธ์สำคัญของจีน จะเห็นได้ว่าในโลกที่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำให้พรมแดนใหม่เปิดกว้างขึ้น จีนเลือกใช้เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เป็นกลไกสู่การสร้างอำนาจแบบใหม่ ในขณะที่บางประเทศยังมองขั้วโลกเป็นเพียงพื้นที่ห่างไกล จีนกลับมองว่าทะเลน้ำแข็งเหล่านี้คือ “โอกาส” ทั้งในเชิงทรัพยากร เศรษฐกิจ และอำนาจระหว่างประเทศ

เรือเสว่หลง 2 และนโยบาย Polar Silk Road จึงไม่ใช่แค่โครงการโลจิสติกส์ แต่เป็นการวางรากฐานเพื่อสถาปนาจีนในฐานะผู้นำบนเวทีโลกในรูปแบบใหม่  ที่ไม่ได้วัดกันด้วยแค่จำนวนกองทัพ แต่ด้วยความสามารถในการควบรวมเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และยุทธศาสตร์ระดับโลกเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน

 

 

แหล่งอ้างอิง

Nature Communications (2023) – “Arctic Sea Ice Loss and its Global Impacts”

U.S. Geological Survey (USGS) – “Circum-Arctic Resource Appraisal: Estimates of Undiscovered Oil and Gas North of the Arctic Circle” (2008)

The State Council Information Office of the People’s Republic of China – “China’s Arctic Policy” (2018)

Arctic Council Official Website – Membership and Observer List

Polar Research Institute of China – Official Ship Information

Xinhua News, CGTN, SCMP – Coverage on Xuelong 2 Launch and Polar Silk Road Strategy

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี