


17+


















บ้าน ‘คนธรรมดา’ ที่ตั้งใจว่าต้องอยู่กับภัยพิบัติ 1 ปีโดยไม่ตาย
โพสต์ทูเดย์พารู้จัก เรื่องเล่าจากแนวคิดการสร้าง ‘บ้าน’ ของคนธรรมดา ที่ตั้งใจว่า ‘ต้องรอด’ หากเกิดภัยพิบัตินานนับปี
ต่อไปนี้คือเรื่องราวของ ‘บ้านที่สุดแสนธรรมดา’ หลังหนึ่ง
.
.
ในขณะที่มนุษย์มองหาวิทยาการล้ำสมัย หันหน้าเข้าสู่ยุค AI และ Smart Home อย่างเต็มตัว เพื่อนำมาตอบโจทย์การสร้าง ‘บ้าน’ ที่สะดวกสบายมากที่สุด หรือมองหาเครื่องมือทันสมัยที่จะอยู่รอดกับภัยพิบัติ
มุมหนึ่งใน อ.แม่สอด จ.ตาก ‘บ้านสวนมาศิณีฟาร์ม’ ของ อุ๋ย - ศิณี กันธรักษา ซ่อนตัวอยู่ในเงาไม้ริมน้ำสายเล็กๆ ที่ได้ยินแต่เสียงรถผ่านไปมานานๆ ครั้ง
บ้านหลังนี้ตั้งอยู่อย่างมั่นคงมาหลายปี
คำว่า ‘มั่นคง’ ของบ้านแห่งนี้อาจจะมีรายละเอียดที่แตกต่างจากหลังอื่นๆ อยู่พอสมควร เพราะไม่ใช่แค่โครงสร้างที่ต้องแข็งแรง แต่เจ้าของบ้านตั้งใจจะสร้าง ‘บ้าน’ ของเธอให้ ‘มั่นคง’ ทุกด้านอย่างแท้จริงเท่าที่ ‘คนธรรมดา’ คนหนึ่งจะทำได้ โดยเฉพาะต้องสามารถที่จะรับมือกับภัยพิบัติได้ด้วย ‘ตัวเอง’
ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งน้ำไม่ไหล ไฟดับ ระบบทุกอย่างล้มหาย หรือโรคระบาดอีกครั้งหนึ่ง จะอยู่ได้มั้ยเอาแค่ 7 วัน ภายในบ้านของตัวเอง
ท่ามกลางคำกล่าวของคนรอบข้าง ถึง ‘ความกระตือรือร้น’ ที่จะ ‘ล้น’ หรือ ‘ตื่นตูม’ เกินไปหน่อยหรือไม่ .. แต่ห้วงเวลาที่ผ่านมา ก็พิสูจน์ด้วยตัวของมันเองแล้วว่า
แนวคิด ‘บ้านที่รับมือภัยพิบัติ’ หลังนี้ไม่ใช่ แนวคิดที่ไกลตัวอีกต่อไป
จุดเริ่มต้นจาก ‘โควิด’ กับแนวคิด ‘พึ่งพาตัวเอง’
“ช่วงโควิด เราอยู่ในโรงงานของพี่สาวซึ่งเป็นลักษณะห้องพักที่มีห้องน้ำในตัว อยู่ทุกวันจนอึดอัด มีแอร์นะแต่พอออกมาข้างนอกก็ร้อน จึงตัดสินใจว่าจะย้ายมาที่สวน ซึ่งโชคดีว่ามีที่และบ้านหลังเล็กๆ สร้างเอาไว้แล้วบ้าง” คุณศิณี หรือ อุ๋ย เริ่มเล่าย้อนถึงวันวานซึ่งก็ผ่านมาหลายปี
พื้นที่สวนแต่เดิม ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟ ในครั้งแรกเนื่องจากคุณอุ๋ยคลุกคลีอยู่กับชาวเมียนมา จึงเห็นคนงานชาวเมียนมาใช้ ‘โซลาร์เซลล์’ แผงเล็กๆ สำหรับผลิตไฟ จึงนำมาใช้แต่ก็ไม่เพียงพอ
“เราเริ่มจากเล็กๆ ลองผิดลองถูกของเราเอง จนกระทั่งมีระบบโซลาร์เซลล์เต็มรูปแบบ"
คุณอุ๋ยอธิบายถึงการใช้ชีวิตกับไฟที่มาจากโซลาร์เซลล์ของในบ้านของเธอว่า ‘ใช้ตั้งแต่ตื่นนอนยันหลับ’ แต่ก็ต้องมีความรู้ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างต้องใช้กลางวันหรือกลางคืน
“อย่างเครื่องดูดฝุ่น เราก็คงไม่มาดูดฝุ่นตอนกลางคืนที่ต้องใช้ไฟเยอะ เราก็เลือกใช้ไฟตอนเช้า”
ที่บ้านสวนมาศิณีฟาร์มมีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบถ้วน แม้กระทั่งตู้เย็น แม้ว่าจะไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่การวางแผนสร้างบ้านที่ทำให้อากาศในบ้านหมุนเวียน มีห้องด้านล่างและด้านบน ซึ่งห้องด้านล่างที่อยู่ใกล้บ่อน้ำจะเย็นกว่าด้านบน และรอบบ้านก็จะปลูกต้นไม้ไว้ ทำให้ ‘แอร์’ ไม่จำเป็นต่อชีวิตของเธอ
“ พอเราอายุมากขึ้น พี่ก็อยากได้บ้านที่รู้จักทิศทางลมเข้าออก พื้นบ้านถ้าเป็นซีเมนต์ก็เย็นเท้า ต้องใส่ถุงเท้าทั้งวัน ก็เลือกใช้พื้นไม้ เรื่องไม่มีแอร์พออยู่ไปนานๆ ก็จะชินกับอากาศ รู้สึกดีกับตัวเองเพราะว่าเจอร้อนก็อยู่ได้ เจอหนาวร่างกายเราก็ปรับตัวได้ พอมาอยู่แบบนี้บางครั้งนอนห้องแอร์จะรู้สึกอึดอัด เพราะว่าอากาศไม่ปลอดโปร่ง”
คุณอุ๋ยบอกว่า บ้านหลังนี้ค่อยๆ ทำมาเรื่อยๆ เพราะไม่ได้มีงบประมาณมากนัก เริ่มจากไฟหลังจากนั้นก็เป็นระบบน้ำ ที่ทุกวันนี้ไม่ต้องจ่ายเงินเลยแม้แต่บาทเดียว
“ ที่นี่เราขุดบ่อก็ได้น้ำมา เราใช้วิธีดึงน้ำขึ้นไป ผ่านเครื่องกรองเก็บไว้บนแทงก์น้ำด้านบน เพื่อให้น้ำจากที่สูงไหลผ่านท่อจ่ายเข้ามาในบ้าน ซึ่งจะมาผ่านขั้นตอนการกรองแบบเดียวกับน้ำประปา ให้น้ำสัมผัสแดด กรองสนิมกรองสิ่งสกปรกทุกอย่าง น้ำที่ได้ก็จะเอามาใช้อาบน้ำหรือทำครัว นอกจากนั้น ก็จะผ่านเครื่องกรองเล็กในบ้านอีกทีหนึ่งเพื่อเอามาดื่ม น้ำของที่นี่จึงไม่มีกลิ่นและสะอาด”
หลังจากนั้น คุณอุ๋ยก็ขยายแนวคิดของตัวเอง จากโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์100% สู่โรงผลิตน้ำประปา โรงผลิตน้ำดื่ม โรงผลิตปุ๋ยหมักปุ๋ยน้ำ โรงซ่อมสร้างอุปกรณ์ โรงแปรรูปถนอมอาหาร โรงยาปลูกพืชสมุนไพรและผักที่มีสรรพคุณทางยา นอกจากนี้ยังมีเรือนเพาะชำกล้าไม้และขยายกิ่งพันธุ์อีกด้วย
สรุปแล้วแนวคิดการสร้างบ้านของ 'มาศิณีฟาร์ม' ที่สำคัญคือ สร้างบ้านที่ลดการใช้พลังงานและรองรับการอยู่ของผู้สูงวัย และสามารถรองรับทุกภัยเมื่อภัยมา พายุลมฝน น้ำท่วม ภัยแล้ง ร้อน แผ่นดินไหว และฝุ่น PM2.5 ได้ รวมไปถึงจะต้องสร้างสมดุลระบบนิเวศในสวน เพื่อให้สัตว์ นก แมลง กิ้งก่า ปลวก ได้พักอาศัย เป็นที่หลบภัย และมีส่วนร่วมในการดูแลสวน แทนการใช้สารเคมีเพื่อช่วยกำจัดหนอนและแมลง
‘ความมั่นคงทางอาหาร’ บทเรียนที่สำคัญที่ต้องใส่ใจแม้กระทั่งรายละเอียด
ช่วงโควิดที่ต้องกักตัวเป็นปีๆ สิ่งหนึ่งที่คุณอุ๋ยเรียนรู้คือ ‘ความมั่นคงทางอาหาร’ ต้องมีเพราะไม่สามารถติดต่อใครได้และทุกคนก็ห้ามออกจากบ้าน
“เราเริ่มจากซื้อปลา ไก่ และห่านมาเลี้ยง มันทำให้เราได้ทั้งเนื้อและไข่ซึ่งเก็บได้ทุกวัน ส่วนอาหารเลี้ยงสัตว์ตอนแรกปลูกข้าวโพดเก็บไว้ แต่ปรากฎว่าชาวบ้านปลูกแล้วถูกกว่าที่เราลงทุนปลูกเอง ก็ได้เรียนรู้ว่าไม่ใช่ว่าปลูกไปซะทุกอย่าง มันก็ลองผิดลองถูกมา ” ซึ่งคุณอุ๋ยบอกว่าเคยเลี้ยงเป็ดพันธุ์ไข่แต่ค่าอาหารแพง ส่วนปลาในบ่อที่เลี้ยงไว้น่าจะพอให้เธอสามารถมีอาหารกินได้เป็นปีๆ
เช่นเดียวกับการปลูกผัก เคล็ดลับสำคัญของการเลือกชนิดผักที่จะปลูกคือ ‘ผักท้องถิ่น’ เพราะผักบางอย่างแมลงชอบกินก็จะทำให้ปลูกแล้วไม่ ‘คุ้มค่า’
ที่สวนจะใช้วิธีเอาไปแลกเปลี่ยนกับชาวบ้าน เรามีผักอะไรก็ขอเอาไปแลกกับผักของเขา ผักในสวนก็อย่างเช่นฟักทอง น้ำเต้า ใบกระเจี๊ยบ ใบโหระพา กะเพรา พริก ใบแมงลัก ยอดสมป่อย และผักที่กินกับลาบ
นอกจากปลูกให้เป็นแล้ว การถนอมอาหารคือขั้นตอนถัดไปที่ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการ
“เราได้ไก่มา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นไก่ของเราหรือไปซื้อมาก็ต้องซื้อที่สดๆ หรือหมูเราไม่ได้เลี้ยง เวลาซื้อมาก็จะซื้อสดๆ มา แยกเป็นส่วนๆ อันไหนหน้าอก อันไหนเครื่องใน แล้วแพ็คใส่ถุงพลาสติกสำหรับแช่เย็น ซีลปิดให้เรียบร้อย และเขียนเลขกำกับว่าเราซื้อมาวันไหน เวลาที่แช่เย็นก็จะอยู่ได้นานๆ เวลาจะเอามาทานก็เอาออกมาทิ้งไว้หนึ่งคืนมันก็ละลาย ก็ได้ไก่ที่เหมือนซื้อมาจากตลาดเลย” คุณอุ๋ยเล่าวิธีการเก็บอาหารให้อยู่ได้นานของเธอ นอกจากนี้ยังมีวิธีเก็บผักแต่ละชนิด หรือการเก็บเห็ดให้อยู่ได้นานขึ้น
“อาหารกระป๋องก็จะซื้อตุนไว้ เหมือนเป็นระบบของที่นี่ เครื่องปรุงรสบางอย่างเราทำเองเช่นซีอิ๊วขาว ก็จะหมักเอง แต่บางอย่างก็ซื้อมาไว้แต่ไม่มากเพราะเครื่องปรุงรสอยู่ได้นาน”
ถ้าถามถึงของเด็ดประจำสวนนี้ นอกจากอาหารที่คุณอุ๋ยชอบเข้าครัวทำอาหารชวนอร่อยเองทุกมื้อแล้ว ยังมี ‘ขนมปัง’ ซึ่งเธอจะทำเองหากต้องการรับประทาน รวมไปถึงหากข้าวสารที่เก็บไว้หมดเธอก็บอกว่าเธอมีสูตรเด็ด ‘มัน 5 นาที’ ซึ่งทำให้ต้องถามว่าคืออะไร
“ มัน 5 นาทีก็คือเอามันสำปะหลังมานึ่งนี่แหละ เราปลูกไว้เอามาทดแทนคาร์โบไฮเดรตที่ต้องได้จากข้าวอีกที เผื่อไว้ว่าญาติๆ จะมาขอข้าวสารจนหมดเวลาเกิดเหตุ”
อุปกรณ์ต้องเตรียม - เงินสดต้องมี
คุณอุ๋ยนึกขึ้นมาได้ระหว่างบทสนทนา เธอพูดขึ้นมาว่า ‘เงินสดสำคัญนะ’ แถมบอกให้ผู้เขียนกดเงินสดติดบ้านไว้บ้าง โดยบอกเคล็ดลับง่ายๆ ว่า
ควรจะเป็นใบยี่สิบกับเหรียญ เพราะว่าเวลาใช้งาน ถ้าเกิดภัยพิบัติจริงๆ ธนบัตรใบละหนึ่งพันนั้นจะหาเงินทอนก็คงหาได้ยาก เราจะซื้อก็แค่ผักแค่อาหาร เพราะฉะนั้นเหรียญและธนบัตรใบเล็กๆ จึงสำคัญกว่า
นอกจากนี้อุปกรณ์ที่คุณอุ๋ยมีติดบ้านไว้ อาทิ ยารักษาโรค ไฟฉาย แบตเตอรี่ วิทยุ จักรยาน ส่วนมอเตอร์ไซค์เวลาไปไหนก่อนเข้าบ้านต้องเติมน้ำมันให้เรียบร้อยเต็มถังอยู่ตลอดเวลา
“นกหวีดก็สำคัญค่ะ ที่ทุกคนควรจะมีติดตัว วันหนึ่งแผ่นดินไหวอยู่ที่ไหนสักแห่ง สัญญาณโทรศัพท์ก็ติดต่อยากเหลือเกิน อย่างน้อยเราจะได้เป่า ปี้ดๆ ให้คนได้ยินได้” คำเตือนของเธอทำให้นึกถึงช่วงเวลาแผ่นดินไหวที่เพิ่งเกิดขึ้นเสียจริง
เราไม่ได้ตื่นตระหนก แต่เราทำให้เป็นนิสัย จนตอนนี้ตัวเองก็ติดนิสัยว่าถ้าอาหารที่บ้านหมด ไข่หมด หมูหมด ไก่หมดไม่ได้เลย ต้องไปซื้อเพิ่มไว้ ก็คือพร้อมตลอดเลย บางคนบอกว่าจะไม่เกิด ไม่เกิดก็ดีไป แค่เราฝึกให้เป็นนิสัย แต่ก็อย่างที่ทุกคนเห็นว่าโรคระบาดก็เกิดแล้ว แผ่นดินไหวก็เกิดแล้ว สงครามก็มีแล้วบางคนยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย
คุณอุ๋ยบอกว่าสิ่งทั้งหมดที่เล่ามา พิสูจน์ผ่านมาแล้วตลอดระยะเวลาของการเกิดโรคระบาดโควิด ว่าเธอสามารถอยู่ได้จริงโดยแทบไม่ออกไปไหน
ภัยพิบัติ กับ วัยเกษียณ เกี่ยวข้องกันได้
ข้อสงสัยหนึ่งที่ต้องถามคือ เมื่อเลยจากบ้านคุณอุ๋ยไปก็จะเห็นหมู่บ้านซึ่งมีเสาไฟฟ้าไปถึงแล้ว ทำไมถึงตัดสินใจทำในสิ่งยากๆ แต่แรก ทั้งๆ ที่ก็สามารถต่อไฟเข้ามาที่บ้านได้
“เราคิดว่าตอนนี้กำลังมีแรงอยู่ แต่วันหนึ่งก็เป็นผู้สูงอายุ ไม่มีรายได้เพียงพอ จะหาเงินมาจากไหนมาจ่ายค่าไฟทุกเดือน เงินผู้สูงอายุที่ได้รับก็ไม่ได้เยอะ จึงคิดว่าถ้าเราไม่มีรายได้เข้ามาเลย จะใช้ชีวิตยังไง ”
คุณอุ๋ยเล่าว่า แต่ก่อนรายจ่ายต่อเดือนค่อนข้างมาก
“อยู่ 2 คนค่ะ เช้าก็ต้องมีละอย่างน้อย 150 บาทที่ต้องจ่ายค่าข้าว ไหนจะค่ากาแฟ กลางวันก็ต้องกินอีก มื้อเย็นอีก วันหนึ่งค่ากินอย่างน้อยก็หลายร้อย เดือนหนึ่งก็เป็นหมื่น ไม่รวมค่าน้ำค่าไฟ แต่ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายลดลงไปเยอะมาก จากหลักหมื่นเหลือแค่เดือนละ 2,000 บาท”
แม้จะต้องจ่ายค่าอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าและน้ำ แต่คุณอุ๋ยบอกว่าเป็นการค่อยๆ ทำอย่างที่เกริ่นไว้แต่แรกไม่ได้จ่ายเงินก้อนเดียว
“ เราไม่ได้จ่ายค่าติดตั้งโซลาร์เซลล์ทีเดียว 2 แสนบาทนะ ไม่มีเงิน แต่ใช้วิธีค่อยๆ ทำ”
หากใครที่จะเริ่มลดรายจ่ายของตัวเองเพื่อวันเกษียณ พร้อมกับการรับมือกับภัยพิบัติไปในตัว ซึ่งทุกวันนี้ไม่รู้ว่าจะมาในรูปแบบไหน คุณอุ๋ยแนะนำว่าก่อนอื่นต้องดูว่าบ้านของตนเองขาดอะไร
“ลองว่าถ้าอยู่บ้าน 7 วันโดยไม่ออกไปไหน ไม่มีน้ำไม่มีไฟ อยู่ได้มั้ย ห้ามใช้แอร์ด้วยนะ แล้วก็จดไว้แต่ละวันว่าเราขาดอะไรบ้างจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีค่ะ”
.
.
และนี่คือเรื่องราวของ ‘บ้านที่สุดแสนธรรมดา’ หลังหนึ่ง แต่ทำให้เห็นความสำคัญของ ‘แนวคิดของการพึ่งพาตัวเอง’ และ ‘การวางแผน’ ที่ไม่ต้องลงทุนมากมายนัก ที่สำคัญคือทุกคนสามารถทำได้เช่นเดียวกัน.



17+




















