สภาอุตฯ ชี้ ‘นโยบายเศรษฐกิจสุขภาพ’ คือ ‘ทางรอดที่เหลืออยู่’ จากเงื้อมมือจีน
ถอดมุมมอง ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ต่อนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสุขภาพ มองยังเป็นโอกาสเนื่องจากเป็น ‘อุตสาหกรรมที่อยู่รอดของไทยจากเงื้อมมือทุนจีน’
เป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์ที่กระทรวงสาธารณสุข ประกาศนโยบาย 7 เศรษฐกิจสุขภาพ เพื่อ ‘หาเงิน’ ให้แก่ประเทศดัน GDP โดยตั้งเป้าที่ 6.9 แสนล้านในปี 2568
นำทัพโดย ‘นวดไทย วิชาชีพ’ ที่จะสร้าง 20,000 คนในภาคบริการและคาดการณ์รายได้ระดับ ‘1.9 หมื่นล้าน’ ตามด้วยการใช้ ‘ยาสมุนไพรไทย’ แทนการใช้ ‘ยาแผนตะวันตก’ ในระบบสุขภาพของรัฐที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะทดแทนกว่า ‘3 พันล้าน’ เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเงินเข้ากระเป๋าบริษัทต่างชาติ และเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย
เสริมด้วย ‘ของใหม่’ อย่าง ATMPs หรือผลิตภัณฑ์การแพทย์ชั้นสูง ที่ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ กล่าวอย่างชัดเจนวันนี้ (4 มีนาคม 2568) หลังการแถลงความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แต่คลับคล้ายคลับคลากับนโยบายอื่นของรัฐบาลนี้ว่า
‘เป็นการเอาของที่แอบขายกันใต้ดิน ขึ้นมาเก็บภาษีบนดิน และทำให้ถูกต้อง’
รัฐบาลผลักดันนโยบายนี้อย่างเต็มสูบ เพราะเป็นความหวังที่จะเป็น New Engine ตัวใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและ GDP ที่ไม่โตมากกว่า 2% มาเป็นเวลานานและพยายามทำให้ได้ถึง 5% โดยจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมกันระหว่างสำนักงานเศรษฐกิจสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นสำนักงานใหม่ที่จะได้เห็นหน้าเห็นตากันในสัปดาห์นี้ กับสภาอุตสาหกรรมที่ได้ตั้งคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ดูแล 7 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่
- ยา
- อาหารและเครื่องดื่ม
- ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์
- สมุนไพร
- เครื่องสำอาง
- ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- เทคโนโลยีชีวภาพ
แก้ปัญหาเรื่องมุมมอง และกฎเกณฑ์ที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขัน
นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับโพสต์ทูเดย์ ว่า ปัญหาและอุปสรรคของอุตสาหกรรมที่พบเจอมาก่อนหน้านี้จะเป็นเรื่องของมุมมองของการคุ้มครองผู้บริโภค ส่วนในภาคธุรกิจก็จะเป็นมุมมองในเรื่องของการสู้กับตลาดต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น วิตามินซี แต่เดิมหากเกิน 60 มิลลิกรัมจะต้องขึ้นทะเบียนเป็นยา แต่ในต่างประเทศให้สูงสุดได้ถึงพันมิลลิกรัมต่อวัน ก็ยังคงถือว่าเป็นอาหารอยู่ ซึ่งกฎเกณฑ์ดังกล่าวทำให้วิตามินซีของผู้ผลิตไทยเวลาจะไปแข่งขันกับต่างประเทศก็เป็นเรื่องยาก ภายหลังทางอย. ได้พูดคุยกับทางสภาอุตสาหกรรมเยอะมากขึ้น มีการประชุมและปรับตัวเลขกันทุกเดือน เพื่อให้ทางภาคเอกชนสามารถที่จะไปแข่งขันในตลาดได้มากขึ้นด้วย
“ ในกลุ่มนี้จะมีผลิตภัณฑ์ 7 กลุ่ม การขับเคลื่อนก็จะเป็นไปตามความยากง่าย หากเป็นเรื่องของยาจะเป็นเรื่องค่อนข้างละเอียดอ่อน แต่ถ้าเป็นอาหารหรือเครื่องสำอางจะสามารถขยับได้เร็วกว่า”
ทั้งนี้ นายนาคาญ์ ยอมรับว่าผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามจะเข้ามาเป็น New Engine ใหม่ที่จะขับเคลื่อน GDP ของไทยซึ่งต้องการอยู่อีกมาก เพราะฉะนั้นการมองอุตสาหกรรมกลุ่มนี้ ทางสภาอุตฯ ไม่ได้มองที่ผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตออกมาอย่างเดียว แต่รวมถึงการบริการสุขภาพด้วย เช่น การนวด หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งต้องมีการสร้างบุคลากรด้านนี้ และจะเป็นตลาดแรงงานที่คนไทยต้องมาทำงานมากขึ้น
“ ประเทศไทยตอนนี้เป็นศูนย์กลางสุขภาพของอาเซียน และเป็นท็อปของเอเชีย แม้สภาอุตสาหกรรมจะทำเรื่องผลิตภัณฑ์เป็นหลัก แต่เราก็สนับสนุนเรื่องการบริการ เรามี Academy เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการ และถ้าหากในส่วนผลิตภัณฑ์มีมาตรฐาน อย.ปรับปรุงกฎระเบียบที่เอื้อต่อการแข่งในตลาดโลกได้ แบบนี้เราก็แข่งได้”
เน้นเพิ่มมูลค่าทดแทนนำเข้ายาจากต่างประเทศ
ด้าน นายสุรชัย เรืองสุขศิลป์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยา ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ในผลิตภัณฑ์ประเภทยา ประเทศไทยทำเป็นระบบมาก เนื่องจากต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานของทางสำนักงานอาหารและยาที่มีการกำหนดไว้ ซึ่งทางสภาอุตสาหกรรมก็จริงจังกับเรื่องนี้เพื่อให้มีความสามารถเชิงการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ซึ่งยาของประเทศไทยก็สามารถส่งออกไปยังประเทศที่พัฒนาไปมากกว่าเราในแถบนี้ได้เช่น สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย ก็ซื้อยาของประเทศไทยซึ่งมีการพัฒนาใหม่ๆ และเป็นการซื้อยาทดแทนยาราคาสูงที่หมดสิทธิบัตรแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับประเทศไทยเช่นกัน เพราะหากเราใช้ยาในราคาสูงไปเรื่อยๆ จะซื้อเท่าไหร่ก็ไม่พอ ตรงนี้อุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศจะช่วยได้
“ เราเน้น 2 ด้านคือ ยาดั้งเดิมที่มีการใช้จำนวนมาก เพราะประเทศเข้าสู่สังคมสูงวัยแล้วก็มีความจําเป็นต้องใช้ยาในอัตราเพิ่มขึ้น แปลว่าถ้าเราผลิตเองได้หนึ่งก็คือประหยัด สองคือมีความมั่นคงทางยา
ส่วนยาทันสมัยใหม่ใหม่ๆ ซึ่งเพิ่งจะหมดสิทธิบัตร เราจะทําให้ได้ในราคาถูก อันนี้ก็สําคัญมาก เพราะเราจะสามารถรักษาคนไทยของเราให้ดีขึ้นได้ในราคาที่ไม่แพง ตอบโจทย์ให้ทุกคนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ”
เมื่อถามถึงอุปสรรคสำคัญในมุมมองของนายสุรชัย กล่าวว่าคือ ความเชื่อมั่นของคนไทย ซึ่งอยากจะใช้ยานอกหรือยาต่างประเทศ โดยไม่ยอมรับว่าประเทศเราพัฒนามาถึงจุดที่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เอง ถ้าเราทอดทิ้งและไม่พัฒนาก็จะไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้
ทั้งนี้ โดยเบื้องต้นนโยบายจะโฟกัสที่สัดส่วนของการผลิตเพื่อทดแทนการใช้ในประเทศเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่าการส่งออก
อุตสาหกรรมที่อยู่รอดของไทย ซึ่งจีนยังไม่เข้ามาแข่งขันในตลาด
นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในเรื่องทุนจีน ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ที่เข้ามาส่วนใหญ่ของจีนยังไม่สามารถส่งออกมายังประเทศไทยโดยตรงได้ แม้แต่คนจีนด้วยกันจะซื้อได้ ก็ต้องซื้อของที่ผ่านอย.ของประเทศไทยกำกับ หรือในเรื่องของอาหารสุขภาพต่างๆ จะซื้อก็ต้องดู อย.
“ อย่างไรก็ตามจริงอยู่ว่าตอนนี้ยังไม่มีผล ทุนจีนยังไม่เข้ามาในอุตสาหกรรมหมวดนี้ แต่คิดว่าอีกประมาณ 3-4 ปีอาจจะมีผล พูดง่ายๆ คือวันหลังจีนจะเริ่มเข้ามาแข่งกับไทย และมีสิทธิที่จะดึงตลาดตรงนี้ของเราไปเหมือนกัน เพราะวัตถุดิบส่วนใหญ่ในส่วนของยา เครื่องสำอางต่างๆ ผลิตจากจีนเยอะ เราจึงพยายามคุยกับจีนผ่านสายงานอาเซียนไชน่า ถึงความร่วมมือที่จะช่วยกันผลิต โดยให้จีนส่งมาเป็นวัตถุดิบและเรานำมาผลิตเพื่อการส่งออก เราติดต่อเขาอยู่เรื่อยๆ ล่วงหน้าก่อนที่เขาจะเข้ามาสู่อุตสาหกรรมนี้โดยที่ไม่มองเรา ตอนนี้มีหลายหน่วยงานที่ไปประสานกับจีนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดตรงนี้ครับ”
นายนาคาญ์ย้ำว่า “จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น เพราะมันเป็นอุตสาหกรรมที่อยู่รอดของบ้านเรา”
ประเทศไทยต้องพยายามที่จะทำธุรกิจร่วมกับจีนให้ได้และต้องสร้างความร่วมมือระหว่างกันให้เกิดขึ้นเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ประเทศไทย ระหว่างที่ทางจีนยังไม่เติบโตด้านอุตสาหกรรมกลุ่มนี้ในบ้านเรา ส่วนสินค้าที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมายมีการพูดคุยกัน โดยกองด่านจะต้องมีความระแวดระวัง สินค้าที่เข้ามาต้องมีการเปิดตรวจให้มากขึ้นและมีการขอ อย.ก่อนที่จะเข้ามา
จากข้อมูลของสภาอุตสาหกรรมฯ อุตสาหกรรมในหมวดของสุขภาพและความงาม ณ ขณะนี้มีมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าจากการส่งออก 5.43 แสนล้านบาท และนำเข้า 5.37 แสนล้านบาท คิดเป็น 10% ของ GDP ทั้งนี้ นายนาคาญ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าจาก 10% ของ GDP ยังมีโอกาสที่จะพุ่งขึ้นได้อีก แต่อาจจะไม่ได้เติบโตเป็นเท่าตัวแต่อย่างน้อยก็ควรจะดันให้เพิ่มขึ้นเป็น 11-12% เพื่อทดแทนอุตสาหกรรมหลายอย่างที่โดนทิ้งไป อย่างเช่นอุตสาหกรรมรถยนต์และเหล็ก จนเกิดเป็นปัญหาอยู่ ณ ขณะนี้


