WorldPride ไม่ใช่แค่อีเวนต์ แต่ต้องสร้างประเทศให้เท่าเทียมยันโครงสร้าง!
ฟังเสียงสะท้อนของกลุ่ม LGBTQIAN+ เมื่อไทยประกาศชิงเป็นเจ้าภาพ WorldPride 2030 ชี้ WorldPride ไม่ใช่แค่งานอีเวนต์ แต่คือการสร้างประเทศให้เท่าเทียมและเสมอภาคอย่างแท้จริง
ก่อนหน้าการลงจากตำแหน่งของอดีตนายกเศรษฐา ทวีสิน เพียงแค่วันเดียว รัฐบาลได้ประกาศ Road To WorldPride 2030 แผนที่จะชิงการเป็นเจ้าภาพจัดงาน LGBTQIAN+ ที่ใหญ่ที่สุดของโลกมาครอง แน่นอนว่าหากได้เป็นเจ้าภาพเม็ดเงินนั้นจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศได้มหาศาล
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ฝั่งภาคประชาสังคม และชุมชน LGBTQIAN+ แม้จะสนับสนุนการจัดงาน แต่ก็ยังมีข้อกังวลไม่น้อย ว่าประเทศไทยพร้อมแน่หรือ เพราะ Road To WorldPride 2030 ไม่ใช่แค่การเตรียมงานอีเวนต์ แต่คือการสร้างประเทศให้เป็นประเทศที่เท่าเทียมและเสมอภาค ซึ่งไทยยังต้องทำการบ้านอีกเยอะ!
- กฎหมายยืนยันอัตลักษณ์ทางเพศ และ Sex Worker
ณชเล บุญญาภิสมภาร นักรณรงค์สุขภาวะของคนข้ามเพศ กล่าวว่า สมรสเท่าเทียมมอบความหวังให้แก่เราทุกคน ทำให้รู้ว่าสังคมไทยเปลี่ยนไป และในวันที่บอกว่าประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัด WorldPride 2030 คิดว่าสิ่งที่สังคมไทยต้องมีคือ กฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ ที่จะให้สิทธิ LGBTQIAN+ ได้เลือกเพศของพวกเขาในเอกสารราชการ โดยใช้หลักการกำหนดเพศได้ด้วยตัวของพวกเราเอง ซึ่งจริงๆ แล้วกฎหมายแบบนี้ในต่างประเทศ เป็นกฎหมายที่ควรจะเกิดขึ้นเป็นกฎหมายแรกก่อนกฎหมายสมรสเท่าเทียมด้วยซ้ำ
" หากไทยอยากจะเป็นเจ้าภาพจัด WorldPride พวกเราต้องทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง นโยบายที่เกี่ยวข้องกับคนข้ามเพศ คนข้ามเพศก็ต้องมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดนโยบายของชุมชนของพวกเราเองได้เช่นกัน ผ่านการสนับสนุนของบุคคลที่เกี่ยวข้อง "
ด้าน ‘แอนนา’ อัญชณาภรณ์ พิลาสุตา ตัวแทน Sex Worker กล่าวว่า ประเทศไทยมีกฎหมายที่เอาผิดกับผู้บริการหรือ Sex Worker และทำให้อาชีพนี้เป็นอาชีพน่ารังเกียจ ในขณะเดียวกันก็มีคนยังแสวงหาผลประโยชน์จากเรา แต่หากมองในมุมหนึ่งอาชีพบริการคืออาชีพที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นกัน จึงอยากให้รัฐบาลที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกฎหมาย โดยการยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 เพื่อคืนสิทธิ และยกเลิกกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนษุยชน
นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายแรงงาน ให้คุ้มครองอาชีพบริการ โดยที่ไม่ต้องมีการตรากฎหมายใหม่ที่จะสร้างความแปลก แตกแยกให้แก่พนักงานบริการ เพราะเธอเชื่อว่างานบริการก็คืองานชนิดหนึ่งเช่นกัน
- WorldPride ต้องทำให้ประเทศหลากหลายและเท่าเทียมตั้งแต่โครงสร้าง
ปุญชรัสมิ์ ตาเลิศ ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิเครือข่ายความหลากหลายทางเพศอีสาน กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลควรผลักดัน สิ่งแรกคือ กฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ ซึ่งเป็นกฎหมายแรกเลยที่ควรจะมี ไม่งั้นก็จะไม่สามารถเข้าถึงสิทธิสุขภาพ หรือสวัสดิการต่างๆ รวมไปถึงการจัดสรรงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศ เช่น คนข้ามเพศที่ต้องดูแลช่องคลอดใหม่ การตรวจสุขภาพช่องคลอดใหม่ การใช้ฮอร์โมนหลังผ่าตัดแปลงเพศไปแล้ว ซึ่งเราไม่มีสวัสดิการตรงนี้ หรือการผ่าตัดแปลงเพศสำหรับกลุ่ม Intersex ซึ่งยังคุมเครือ
" รวมไปถึงในเรือนจำ ก็ยังไม่มีสุขภาวะที่ดีสำหรับคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ในระบบราชการเองก็ยังอิงกับ Binary อยู่ คำนำหน้าที่ไม่สอดคล้อง เราจะถูกตั้งคำถามก่อนเลยว่าปลอมแปลงเอกสารรึเปล่า ทำไมไม่ตรงกัน มันมีอุปสรรคมาก รวมไปถึงการถอนเงิน ก็เป็นปัญหา ถ้าธนาคารไม่มีความรู้เรื่องความหลากหลายทางเพศ .... เรื่องผ้าอนามัย ควรเป็นสวัสดิการทั้งผู้หญิง และคนที่ผ่าตัดแปลงเพศ แม้จะไม่ได้ใช้ทุกเดือนก็ตาม "
ท้ายสุด ปุญชรัสมิ์ ย้ำว่า WorldPride ในความหมายของพวกเขา ไม่ใช่แค่อีเวนต์ แต่ประเทศไทยต้องพร้อมในเรื่องความเท่าเทียมและเสมอภาพจริง ไม่ใช่แค่กฎหมายมารองรับ ในเรื่องความรู้ของชุมชนต่างๆ ต้องเปลี่ยนแปลง กฎหมายมีแต่คนบังคับใช้ไม่มีความรู้ กฎหมายนั้นก็ไม่มีค่า
“ เอาง่ายๆ กฎหมายความเท่าเทียมระหว่างเพศมีตั้งแต่ 2558 ประเทศไทยทราบมั้ย รู้จักหรือเปล่า เรามีกฎหมายแต่ไม่ได้ใช้ หรือบอกต่อว่าเรามีทางเลือกคุ้มครองไม่ให้ถูกเลือกปฏิบัติทางเพศ
Road to WorldPride มันจะต้องสร้างและเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งระบบ โดยเฉพาะหน่วยงานราชการไทยต้องพร้อมรับข้อมูลใหม่ๆ ต้องพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่คำนึงถึงมิติของเพศ หลักสูตรการศึกษาต้องมีสอน ครอบครัวต้องมีสอน และบุคคลที่มีความรู้ทางแพทย์ก็ต้องรู้ อย่างระบบร่างกายมันไม่ได้มีแค่ชาย-หญิง มันมีเรื่องข้ามเพศด้วย InterSex ด้วยก็ควรจะมีเรียนหรือการศึกษา มีข้อมูลมากขึ้น และที่สำคัญคือทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเรื่องความหลากหลายเป็นเรื่องปกติของมนุษย์”
การจะไปสู่ WorldPride 2030 อย่างที่รัฐบาลประกาศนโยบาย ไม่ใช่เรื่องง่าย! สิ่งที่คณะกรรมการ InterPride ซึ่งเป็นกรรมการผู้ตัดสินใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินใจสำคัญ คือเรื่องของ ‘ความเท่าเทียมและเสมอภาค’ ของชุมชน LGBTQIAN+ ในประเทศเหล่านั้นว่าเกิดขึ้นจริง ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างทั้งหมด ซึ่งแค่สมรสเท่าเทียม ฉบับเดียวคงไม่ได้จะการันตี!


