10 เดือนรัฐบาล ‘แก้วิกฤตประชากรไทย’ ยังไม่ถึงไหน คนไทยต้องเสียอะไรไปบ้าง!
ไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้มีสัดส่วนของประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปร้อยละ 28 เกิดวิกฤตต่อโครงสร้างประชากร เป็น ‘สึนามิ ทับถมเศรษฐกิจ’ ส่วนประชาชน ณ เวลานี้ อาจจะรู้แต่ยังไม่ตระหนักว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อพวกเขาอย่างไร
ย้อนศึกษาประเทศใกล้เคียง จากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด
ญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอดในปี 2007 หรือ 17 ปีล่วงมาแล้ว และถ้าเทียบกับระดับของสังคมผู้สูงอายุในปัจจุบันของไทย ญี่ปุ่นเผชิญกับสภาวะนี้มากว่า 30 ปี แต่ที่แตกต่างกันคือ กว่าญี่ปุ่นจะพัฒนาจากสังคมระดับสูงวัยแบบสมบูรณ์อย่างที่ไทยเจออยู่ตอนนี้ เข้าสู่ระดับสุดยอดนั้น ญี่ปุ่นใช้เวลากว่า 13 ปี แต่ประเทศไทยจะใช้เวลาเพียง 6 ปีเท่านั้น!
และนี่น่าจะเป็นกรณีศึกษาชั้นดีว่าหาก ประเทศไทยปล่อยให้ตัวเองเข้าสู่ภาวะดังกล่าวโดยไม่ได้มีมาตรการตั้งรับแบบ 2 เท่าของที่ญี่ปุ่นทำ และอาจต้องมากกว่านั้นเพราะตอนนี้ญี่ปุ่นก็เผชิญกับสภาพปัญหาเศรษฐกิจซึ่งมีผลจากเรื่องประชากรอย่างมหาศาล ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร และตอนนี้ประเทศไทยตั้งรับด้านไหนไปถึงไหนแล้วบ้าง
- ทำงานหนักขึ้น นานขึ้น
ที่ญี่ปุ่นก่อนหน้าจะเข้าสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอดในปี 2007 เพียงหนึ่งปี คือในปี 2006 ญี่ปุ่นประกาศให้มีการกำหนดการจ้างงานขยายออกไปจนถึงอายุ 65 ปี และในปี 2021 ได้มีการแก้ให้เกษียณที่อายุ 70 ปี เพราะประสบกับภาวะสังคมสูงอายุขั้นรุนแรงและประชากรกำลังหดตัว ที่น่าสังเกตมากกว่านั้น จากบทความของ TDRI ระบุว่ากฎหมายล่าสุดของญี่ปุ่นไม่ได้ให้ผู้สูงอายุทำงานในตำแหน่งเดิม และได้รับค่าจ้างและการปฏิบัติที่เลวร้ายกว่าเดิม เช่น ไม่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายแรงงาน ไม่มีประกันสังคม แต่ต้องจ่ายค่าประกันอุบัติเหตุเอง เป็นต้น
ในขณะเดียวกันอีกประเทศที่อยากจะขอพูดถึงคือ สิงคโปร์ ที่เป็นประเทศซึ่งเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นประเทศแรกในอาเซียน แต่ดูเหมือนว่าสิงคโปร์จะตั้งรับกับการเป็นผู้สูงอายุได้ค่อนข้างดี สิงคโปร์มีนโยบายขยายอายุเกณียณเช่นกัน โดยสถานประกอบการต้องเสนองานให้แก่ผู้เกษียณจนกว่าจะอายุครอบ 67 ปี แต่ข้อที่แตกต่างกันคือรัฐบาลจะสมทบเงินค่าตอบแทนแก่ผู้สูงอายุและลดหย่อนภาษีแก่ผู้ประกอบการเป็นการตอบแทน ซึ่งทำให้ภาระดังกล่าวไม่ตกแก่สถานประกอบการมากจนเกินไป ..
สำหรับประเทศไทย ภาระการจ้างงานที่มากกว่า 60 ปี ที่น่าจะเริ่มขยับก็คือ กระทรวงมหาดไทยจ่อให้มีการจ้างงานภาครัฐในระดับท้องถิ่นที่ไม่รวม กทม.และพัทยา ซึ่งมีการตั้งงบประมาณจ้างผู้สูงอายุ แต่ก็มีเงื่อนไขต่างๆ ถึงจะเข้าเกณฑ์ ไม่ได้ครอบคลุมความต้องการของคนวัยเกษียณทุกคน ส่วนในภาคเอกชนก็ยังไม่มีนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจนจากภาครัฐหรือ กรอบมาตรการจากภาครัฐที่วางไว้ให้แก่เอกชน เฉกเช่นประเทศอื่นแต่อย่างใด
- แรงงานมีเยอะ แต่ตกงาน
อย่างไรก็ตามปัญหาหนึ่งซึ่งเป็นที่หนักอกหนักใจของภาคเอกชน ก็คือ สกิลหรือทักษะของผู้สูงวัยอาจจะไม่สอดคล้องกับงานในปัจจุบัน โดยเฉพาะทักษะด้านไอที
เมื่อหันกลับมามองสิงคโปร์ หลายคนบอกว่าสิงคโปร์รวยถึงสามารถรับมือกับปัญหาประชากรได้ค่อนข้างดี .. แต่อันที่จริงน่าจะเกิดจากหลายปัจจัย สิงคโปร์เป็นประเทศหนึ่งซึ่งได้รับผลกระทบจากจำนวนประชากรที่ลดลงไม่รุนแรงเท่าประเทศอื่น เนื่องจากสิงคโปร์มีจำนวนประชากรที่น้อยอยู่แล้วและอาศัยแรงงานที่มีความรู้จากต่างชาติ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจที่มีหลายอุตสาหกรรมเข้ามามีส่วนใน GDP โดยเฉพาะในเรื่องของการเงิน และเทคโนโลยี นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Aging Asia คาดว่า เศรษฐกิจผู้สูงวัยในสิงคโปร์จะมีมูลค่าสูงถึง 72,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2568 โดยส่วนหนึ่งในนั้นคือการเกิดขึ้นของ Start Up ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยการใช้ชีวิตของผู้สูงวัย
ในขณะเดียวกัน ประเทศญี่ปุ่นซึ่งได้มีการพัฒนาด้านโรโบติกส์ และ AI มาก่อนล่วงหน้านานแล้ว กลับเข้าสู่การขาดแคลนแรงงานด้านไอที เนื่องจากญี่ปุ่นไม่ได้พึ่งพาแรงงานจากต่างชาติมากเท่าสิงคโปร์ นอกจากนี้ผู้สูงวัยยังขาดแคลนทักษะด้านไอที ตามข้อมูลของกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม ญี่ปุ่นจะเผชิญกับการขาดแคลนวิศวกรซอฟต์แวร์ถึง 789,000 คนภายในปี และ2030 ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 32 จาก 63 ประเทศ ในด้านความรู้ทางเทคโนโลยีตามการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD (IMD World Digital Competitiveness Ranking) ทำให้ญี่ปุ่นต้องออกนโยบายสนับสนุนให้คนในวัย 40-50 ปีมาศึกษาคอร์สเรียนเกี่ยวกับไอทีในระยะเวลาสั้นๆ รวมไปถึงมาตรการทางภาษีเพื่อดึงดูดแรงงานที่มีสกิลจ่างต่างประเทศ เพื่อทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าและเติบโตไปได้
สำหรับประเทศไทย มีการเปิดเผยว่าไทยสามารถผลิตแรงงานด้านไอทีเข้าตลาดได้เพียง 8,000 คนต่อปี ส่วน Advanced ICT Skills ของแรงงานไทยมีเพียง 1% เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ในขณะเดียวกันประเทศไทยจำเป็นต้องมีคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะเกี่ยวกับเทคโนโลยี อย่างน้อย 10% ของประเทศ หรือประมาณ 5 ล้านคน ซึ่งทำให้ไทยเป็นประเทศที่ขาดแคลนแรงงานด้านไอที และต้องมีการพึ่งพิงแรงงานจากต่างชาติในด้านนี้
ต่างจากสิงคโปร์ที่มีประชากรแค่เพียง 4.5 ล้านคน ไทยมีประชากร 65 ล้านคน การนำเข้าแรงงานจากต่างชาติ จึงเป็นข้อกังวลว่ามาแย่งงานคนในประเทศหรือไม่ .. แต่เมื่อมองในมุมของภาคเอกชน ก็ต้องยอมรับว่าการนำเข้าแรงงานจากต่างชาติ เป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีและรวดเร็ว และทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้ เพราะกว่าจะผลิตแรงงานคนหนึ่งได้ก็ต้องใช้เวลา อย่างไรก็ตามอย่างสภาอุตสาหกรรมก็มีการจัดสอนคอร์สสั้นๆ ให้แก่วัยแรงงานที่ต้องการมา Upskill ในทักษะที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ และมองว่าการเรียนคอร์สสั้นๆ นั้นเหมาะสมกับภาวะขาดแคลนแรงงานในปัจจุบัน และพยายามจะเสนอแนวทางนี้เพื่อแก้ไขวิกฤตด้านแรงงงานที่เกิดขึ้น
ซึ่งก็ตกเป็นคำถามต่อกระทรวงศึกษาธิการว่า ระบบการศึกษาและการผลิตแรงงานไอทีของไทยนั้น ตอบโจทย์การแก้ปัญหาโครงสร้างประชากรอย่างไรในปัจจุบัน? รวมไปถึงการพัฒนาความรู้ด้านไอทีให้แก่คนทุกวันนั้นดำเนินไปถึงไหนอย่างไรแล้วบ้าง ซึ่งก็ต้องบอกว่ายังไม่เห็นนโยบายหรือการทำงานที่เป็นรูปธรรม!
- ไม่มีเงิน มีโอกาสแบกภาษีเพิ่ม
ญี่ปุ่นต้องขึ้นภาษีบริโภคจากเดิม 8% เป็น 10% โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะภาวะสังคมผู้สูงอายุและอัตราการเกิดที่น้อยลง ซึ่งการเก็บภาษีประเภทนี้จะทำให้ไม่ต้องไปขึ้นภาษีเงินได้หรือนิติบุคคล ซึ่งจะทำให้ภาระตกไปอยู่กับกลุ่มคนวัยแรงงานเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ประเทศอื่นอย่างจีนมีการเก็บภาษีบริโภคอยู่ที่ 16% อังกฤษ 20% (ข้อมูลปี 2562 ) นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังมีการจัดเก็บภาษีมรดกที่สูงมาก และมีการจ่ายภาษีสำหรับบ้านหลังที่ 2 ไม่นับภาษีเงินได้ต่างๆ แต่แม้จะมากขนาดนั้น ระบบประกันสังคมของญี่ปุ่นก็ยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านนี้ราวร้อยละ 30 ของรายจ่ายทั้งหมดของประเทศ นี่เป็นหนึ่งในหลายเหตุผลที่ทำให้ทุกวันนี้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงเป็นอันดับที่ 1 ของโลก
เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย ประเทศไทยเองก็เคยมีข่าวออกมาเนืองๆ ว่ากองทุนประกันสังคมของไทยนั้นอาจจะมีโอกาสที่เงินจะหมดในอีก 30 ปีข้างหน้า และไม่เพียงพอที่จะจ่ายสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้ เพราะขาดสภาพคล่อง ซึ่งมีข้อเสนอต่างๆ เช่น การเพิ่มอายุของผู้ที่ต้องได้รับเงินบำนาญจากกองทุนจาก 55 ปีเป็น 60 ปี การปรับเพดานค่าจ้างเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวนจ่ายเงินสมทบ หรือการเพิ่มอัตราจ่ายเงินสมทบให้มากขึ้น .. นอกจากนี้ แนวทางของการเพิ่มสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุแบบถ้วนหน้า เช่น การให้เงินเดือนละ 1,000 บาท หรือ 3,000 บาทต่อเดือนเป็นขั้นบันไดไปเรื่อยๆ นั้น เป็นสิ่งที่รัฐไม่สามารถทำได้ เพราะมีค่าใช้จ่ายสูง กระทบกับเสถียรภาพและความมั่นคงทางการเงินของรัฐ จึงต้องมีการกำหนดนโยบายอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตัวเองในวัยเกษียณได้!
ในขณะเดียวกัน คนไทยเองได้ชื่อว่า ‘แก่เกินออม’ คือแก่แล้วแต่ไม่มีเงินออม แต่รัฐยังขาดมาตรการส่งเสริมการออม ทำให้คนในวัยชรากลายเป็นภาระที่ตกกับรัฐโดยสมบูรณ์ ก็ต้องตกมาที่คำถามเดิมคือ ประเทศจะเอาเงินจากไหนมาดูแลคนเหล่านี้ ณ วันที่คนสูงวัยมีอัตราเพิ่มขึ้น แต่ไร้ซึ่งทักษะ ทำงานไม่ได้ ต้องจ่ายภาษีแฝงต่างๆ และคนไม่มีเงินออม หรือเมื่อไหร่ไทยต้องขึ้นมาตรการเชิงภาษีเพิ่มเติมอย่างเช่นญี่ปุ่น?
จนถึงตอนนี้ จะเห็นว่าการเข้าสู่สภาวะสังคมผู้สูงอายุจึงไม่ได้กระทบแค่การดำเนินงานของรัฐ แต่กระทบกับการใช้ชีวิตของผู้คน ซึ่งคนไทยยังคงขาดความตระหนักถึงปัญหาด้านวิกฤตประชากรอยู่ค่อนข้างมาก
- สุขภาพดี คืบหน้ามากที่สุด
มาตรการเดียวที่เพื่อไทยทำสำเร็จคือ มาตรการ 30 บาทรักษาทุกที่ และค่าใช้จ่ายนั้นฟรี ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นมาตรการที่มีความคืบหน้ามากที่สุด ณ วันนี้ ตลอดระยะเวลา 10 เดือนการทำงานของรัฐบาล อย่างน้อยคนที่แก่และป่วยก็คงจะหายใจได้โล่งขึ้นว่าไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเป็นภาระที่หนักหนา โดยภายในปีนี้จะมีการขยายมาตรการ 30 บาทรักษาทุกที่ออกไปทั่วประเทศ มาตรการนี้ครอบคลุมจำนวนประชากรไทย 47 ล้านคน โดย ครม. อนุมัติงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 30 บาทรักษาทุกโรค ปี 2568 รวมวงเงิน 2.35 แสนล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2567 จำนวน 9.53% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามแค่สุขภาพดีนั้นไม่เพียงพอ นายแพทย์ชลน่าน อดีตรัฐมนตรีเคยกล่าวไว้ว่า งบประมาณที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่การป้องกันโรคยังมีการใช้จ่ายน้อย ซึ่งควรส่งเสริมการป้องกันโรคเพื่อไม่ให้ผู้สูงวัยป่วยและตกเป็นภาระหนักของรัฐในอนาคตมากขึ้น
ในประเทศสิงคโปร์ได้สนับสนุนให้มีการดูแลจากชุมชน ในญี่ปุ่นบางเมืองที่ประสบความสำเร็จก็เพราะใช้พลังของชุมชน การสร้างคอมมิวนิตี้ภายในชุมชนให้สามารถดูแลกันได้ เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ประชาชนพึ่งพากันเอง โดยไม่หันมาพึ่งพิงแต่ส่วนกลางมากจนเกินไป เพราะการส่งคนจากโรงพยาบาลลงไปดูแลตลอดเวลาย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ประเทศไทยเองก็เริ่มมีการส่งเสริมแนวคิดด้านนี้เช่นกัน โดยให้ความสำคัญกับ อสม. มากขึ้นและฝึกฝนให้พวกเขาซึ่งอยู่ในชุมชนสามารถทำหน้าที่เป็นหน่วยคัดกรอง หน่วยปฏิบัติการเชิงรุกในพื้นที่ด้านสุขภาพได้ ตลอดจนการส่งเสริมให้วัดเช่น วัดพระบาทน้ำพุ เป็นสถานบริบาลคนชรา มีการเร่งผลิตอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น การร่วมมือกับคลินิกเอกชน ร้านขายยาเอกชน เป็นจุดคัดกรอง จุดตรวจโรคเบื้องต้น และจุดรับยา สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ชุมชนสามารถดูแลด้านสุขภาพกันเองได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม นโยบายที่คืบหน้าด้านสาธารณสุขนั้น เป็นเพียงแค่ส่วนเดียวของการแก้ไขปัญหาวิกฤตประชากร แม้รัฐบาลนี้จะมีการออกเป็นนโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤติประชากร จากกระทรวงพม. ซึ่งทางหัวหอกอย่าง นายวราวุธ ศิลปอาชา ก็ยอมรับว่า เป็นนโยบายที่ต้องทำทั้งรัฐบาล และการประสานงานระหว่างกระทรวงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา .. และนั่นจึงทำให้ 10 เดือนของรัฐบาลเพื่อไทย กับการแก้วิกฤตประชากร ยังไม่มีความคืบหน้าเชิงผลงานใดๆ ด้านอื่นนอกจากนโยบาย
ก็ต้องยอมรับว่า เพื่อไทย ไม่ได้หาเสียงเรื่องการแก้วิกฤตประชากรเอาไว้ แต่ในอีก 4 ปีข้างหน้าที่ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด หากใครมารับช่วงต่อก็ต้อง ‘มีหนาว’ เพราะปัญหาเหล่านี้จะเริ่มพอกพูนขึ้น เพราะปัญหาเศรษฐกิจทุกวันนี้ที่ยังแก้ไม่ตก จะถูกทับด้วยวิกฤตประชากรอีก ทั้งๆ ที่ทุกวันนี้ปัญหาเรื่องทักษะแรงงานเริ่มส่อเค้าลางให้เห็นถึงวิกฤตที่ภาคอุตสาหกรรมของไทยกำลังเผชิญอยู่
จึงต้องขอบอกว่า 10 เดือนของเพื่อไทย ที่ไม่ได้เห็นความสำคัญของปัญหาวิกฤตประชากรมากเท่าที่ควร ก็คือ 10 เดือนที่คนไทยกำลังก้าวสู่ปัญหาที่ไม่รู้หนทางรับมือในอีก 4 ปีกับอีก 2 เดือนข้างหน้า .. ซึ่งอีกไม่นานเท่าไหร่นัก.


