ถอดรหัส 'พันธุกรรม' ได้แล้ว 27,000 ราย สู่การเป็นฐานข้อมูลใหญ่ที่สุดในไทย!
ผลักดันการพัฒนาการแพทย์จีโนมิกส์ไปสู่อุตสาหกรรมและบริการการแพทย์ครบวงจร
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวในงานฉลองครบรอบ 1 ปี การลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านจีโนมิกส์ ระหว่างสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ประเทศไทย และกระทรวงสาธารณสุขและการดูแลทางสังคม แห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ” ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตอังกฤษ โฟร์ซีซั่นส์ เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ เกี่ยวกับความคืบหน้าด้านการแพทย์จีโนมิกส์ของไทยว่า
ปัจจุบันการแพทย์จีโนมิกส์เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายๆ ประเทศ โดยประเทศต่างๆ ได้นำมาประยุกต์ใช้กับการรักษาที่สำคัญ เช่น โรคมะเร็ง โรคที่วินิจฉัยยาก โรคติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 การแพทย์จีโนมิกส์สามารถนำมาใช้ในการสืบสวนสายพันธุ์ การศึกษาวิวัฒนาการก่อโรคและการกลับมาป่วยซ้ำ ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญในด้านนี้ และสนับสนุนให้มีการถอดรหัสพันธุกรรมชาวไทย จำนวน 50,000 ราย เพื่อใช้เป็นฐานต่อยอดในการให้บริการทางการแพทย์ที่จะมีความแม่นยำเฉพาะบุคคลได้มากยิ่งขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจึงพร้อมที่จะสนับสนุนการแพทย์จีโนมิกส์เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการทางการแพทย์ให้มีความแม่นยำมากขึ้น อันจะนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้น ดังจะเห็นได้ว่า โครงการจีโนมิกส์ไทยแลนด์ สามารถผลักดันผลการศึกษาเรื่องการตรวจคัดกรองการกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็งเต้านมและรังไข่ในผู้ป่วยและเครือญาติ จนได้รับการบรรจุในชุดสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเปิดให้บริการในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กว่า 80 แห่ง ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 เป็นต้นมา
“ประเทศไทยมีโอกาสที่จะสามารถพัฒนาการแพทย์จีโนมิกส์ไปสู่อุตสาหกรรมและบริการการแพทย์ครบวงจร เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ และความต้องการการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงเข้ากับบริการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพได้ ขณะที่ประเทศไทยยังมีศักยภาพของการเป็น Medical Tourism ที่เข้มแข็ง และมีที่ตั้งในศูนย์กลางของภูมิภาค รวมทั้งมีผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์จีโนมิกส์ระดับนานาชาติ ขณะที่ภาครัฐและเอกชนก็มีความสนใจที่จะนำเทคโนโลยีจีโนมิกส์มาใช้ในการให้บริการทางการแพทย์ จึงถือเป็นจุดแข็งของประเทศไทยที่จะต้องร่วมกันผลักดันและส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการส่งเสริมและดูแลสุขภาพ (Medical hub) ในระดับอาเซียนต่อไป” รมช.สธ. กล่าว