posttoday

กฟผ. ชี้ SMR-ไฮโดรเจนคือ “ความหวังใหม่” ของระบบไฟฟ้า ย้ำไทยช้าเสียเกมโลก

18 ธันวาคม 2568

กฟผ. ย้ำ SMR และไฮโดรเจนคือโครงสร้างพลังงานอนาคต เดินหน้าคู่ขนานการเมือง หนุนความมั่นคงไฟฟ้า ลดคาร์บอน เพิ่มขีดแข่งขันไทยสู่ Net Zero 2050

KEY

POINTS

  • กฟผ. ชี้ว่าเทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) และพลังงานไฮโดรเจนคือ "ความหวังใหม่" ของระบบไฟฟ้าไทย ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
  • การพัฒนา SMR ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการแข่งขันทางเศรษฐกิจระยะยาว หากประเทศไทยตัดสินใจช้าจะเสียเปรียบในการแข่งขันบนเวทีโลก และอาจทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าสูงขึ้นจากการพึ่งพาระบบกักเก็บพลังงานและเชื้อเพลิงนำเข้า
  • กฟผ. ย้ำว่าการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดเป็นแผนระยะยาวที่ต้องเดินหน้าต่อเนื่องโดยไม่ควรรอสถานการณ์การเมือง โดยในร่างแผน PDP ฉบับใหม่ได้บรรจุ SMR ไว้แล้ว และกำลังศึกษาการใช้ไฮโดรเจนเพื่อไม่ให้ไทยตกขบวนการแข่งขันด้านพลังงานโลก

"SMR ไม่ใช่เรื่อง “เลือกหรือไม่เลือกนิวเคลียร์” แต่เป็นเรื่องความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว" - นายวฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. 

 

ท่ามกลางกระแสการเมืองที่ยังไม่นิ่งของไทยที่หลายคนอาจมองว่า อาจส่งผลให้การจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ต้องล่าช้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กลับย้ำจุดยืนชัดว่า การพัฒนาพลังงานสะอาดระยะยาว โดยเฉพาะเทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล (Small Modular Reactor: SMR) และพลังงานไฮโดรเจน ไม่ควรถูกชะลอด้วยปัจจัยการเมืองระยะสั้น หากประเทศไทยต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันบนเวทีเศรษฐกิจโลก

 

นายวฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. เปิดเผยภายหลังนำคณะศึกษาดูงานนวัตกรรมพลังงานสะอาด ณ สาธารณรัฐเกาหลีว่า SMR และไฮโดรเจนคือ “ความหวังใหม่” ของระบบไฟฟ้าไทย ทั้งในมิติความมั่นคงพลังงาน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศ โดยเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ไทยมีโอกาสขยับเป้าหมาย Net Zero จากปี 2065 ให้เร็วขึ้นเป็นปี 2050

 

แม้ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจทำให้ร่าง PDP ฉบับใหม่ล่าช้าไปบ้าง แต่ในมุมของ กฟผ. การพัฒนา SMR ไม่ใช่โครงการระยะสั้นที่ต้องรอรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง หากเป็น “การลงทุนเชิงโครงสร้าง” ที่ต้องใช้เวลาวางรากฐานยาวนานกว่า 10 ปี ตั้งแต่การปรับกฎหมาย กฎระเบียบ การพัฒนาบุคลากร ไปจนถึงการสร้างความเข้าใจและการยอมรับจากสังคม ซึ่งสามารถเดินหน้าแบบ “คู่ขนาน” ไปได้ โดยไม่สะดุดตามวัฏจักรการเมือง (อ่านรายละเอียดได้จากรายงานของโพสต์ทูเดย์ : PDP 2026 จุดเปลี่ยนพลังงานไทย จากก๊าซสู่พลังงานสะอาด และบทบาทใหม่ของ SMR)

 

กฟผ. ชี้ SMR-ไฮโดรเจนคือ “ความหวังใหม่” ของระบบไฟฟ้า ย้ำไทยช้าเสียเกมโลก

 

3 เฟสพลังงานสู่ Net Zero จากหมุนเวียน สู่ SMR และไฮโดรเจน

นายวฤต อธิบายว่า แผนพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานของไทยเพื่อมุ่งสู่ Net Zero ถูกแบ่งออกเป็น 3 เฟส โดยปัจจุบันไทยอยู่ในเฟสแรก คือการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งแม้ต้นทุนต่ำและทำเชิงพาณิชย์ได้แล้ว แต่ต้องแลกกับความไม่เสถียรของระบบไฟฟ้า ทำให้จำเป็นต้องเร่งปรับโครงข่ายให้รองรับพลังงานหมุนเวียนในสัดส่วนที่สูงขึ้น

 

ในร่าง PDP ใหม่ มีการวางแผนระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) สูงถึง 45,000 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับราว 20,000 เมกะวัตต์ และระบบแบตเตอรี่ 25,000 เมกะวัตต์ เพื่อเป็น “ฐานเสถียรภาพ” ของระบบไฟฟ้าในอนาคต

 

กฟผ. ในฐานะผู้ดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้า ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเกิน 50% ตามร่าง PDP 2024 ผ่านโครงการสำคัญ เช่น โซลาร์เซลล์ลอยน้ำ (Quick Big Win) การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Modernization) โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ และระบบกักเก็บพลังงาน (BESS)

 

ส่วนเฟสที่ 2 คือเทคโนโลยีที่ทั่วโลกพัฒนาแล้ว แต่ยังไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์เต็มที่ ซึ่ง SMR ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่ “ใกล้ความจริง” มากที่สุด โดยร่าง PDP 2024 กำหนดให้มี SMR จำนวน 2 โรง กำลังผลิตรวม 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580

 

 

SMR ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือเงื่อนไขการแข่งขัน

นายวฤต ชี้ว่า หากประเทศไทยต้องมุ่งสู่ Net Zero ปี 2050 โดยไม่มี SMR เป็นต้นทุนพลังงานทางเลือก ค่าไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะต้องพึ่งพาระบบกักเก็บพลังงานและเชื้อเพลิงนำเข้าในสัดส่วนที่มากขึ้น ดังนั้น SMR จึงไม่ใช่คำถามว่า “จะเลือกนิวเคลียร์หรือไม่” แต่เป็นคำถามว่าไทยจะรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้หรือไม่

 

SMR มีจุดเด่นด้านความปลอดภัยสูง ใช้ระบบ Passive Safety ที่สามารถหยุดการทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าภายนอก ใช้พื้นที่จำกัด และออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุร้ายแรง โดยหากไทยตัดสินใจเดินหน้าอย่างเป็นทางการตามมาตรฐานของ IAEA จะต้องใช้เวลาราว 12–13 ปี ก่อนโรงแรกจะสามารถเดินเครื่องได้จริง

 

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญของไทยไม่ใช่บุคลากรด้านเทคนิค แต่คือกฎหมาย กฎระเบียบ และการยอมรับของสังคม ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารอย่างต่อเนื่องและนโยบายที่มีเสถียรภาพ มากกว่าการเปลี่ยนแปลงตามการเมืองระยะสั้น

 

เกาหลีใต้ ภาพสะท้อน Value Chain พลังงานสะอาดครบวงจร

การศึกษาดูงานครั้งนี้ กฟผ. ได้เยี่ยมชมศูนย์วิจัยของ Korea Hydro & Nuclear Power (KHNP) โรงงานเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ของ KEPCO Nuclear Fuel และโรงงานไฮโดรเจนของ Doosan Enerbility ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดว่า เกาหลีใต้เดินหน้าพัฒนา Value Chain พลังงานสะอาดครบวงจร ทั้ง SMR พลังงานหมุนเวียน และไฮโดรเจน เพื่อเสริมความมั่นคงพลังงานและสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ (อ่านรายงานจากโพสต์ทูเดย์: เปิดโลกพลังงานนิวเคลียร์เกาหลีใต้ ผ่าน KAERI & KHNP CRI กับบทเรียนสู่ i-SMR)

 

เกาหลีใต้ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านนิวเคลียร์ของโลก มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 26 โรง คิดเป็นกว่า 30% ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ และในแผนพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 11 ยังวางแผนพัฒนา SMR ขนาด 680 เมกะวัตต์ ผ่านเทคโนโลยี “i-SMR” ภายใต้ i-SMR Consortium โดยตั้งเป้าเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในปี 2035 พร้อมพัฒนา Value Chain ครบตั้งแต่เชื้อเพลิงจนถึงการจัดการกากนิวเคลียร์

 

ขณะที่ไทยยังอยู่ในช่วง “ศึกษาและเตรียมความพร้อม” โดย กฟผ. ร่วมมือกับหลายภาคส่วน ทั้งภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และมี KHNP เป็นพันธมิตรหลักในการถ่ายทอดองค์ความรู้และพัฒนาบุคลากร

 

ไฮโดรเจน พลังงานสะพานสู่อนาคต

นอกจาก SMR แล้ว กฟผ. ยังอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการผสมไฮโดรเจน 5% กับก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 6 แห่ง ได้แก่ พระนครเหนือ พระนครใต้ วังน้อย บางปะกง น้ำพอง และจะนะ พร้อมจับมือกับบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น เช่น มิตซูบิชิ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไฮโดรเจนและแอมโมเนียในพื้นที่ศักยภาพของ กฟผ.

 

โดยในระยะเปลี่ยนผ่าน ไทยให้ความสำคัญกับ Blue Hydrogen ควบคู่เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) โดยโครงการนำร่องจำเป็นต้องอยู่ในแหล่งปิโตรเลียมกลางทะเล เพื่อใช้ธรรมชาติเป็นบัฟเฟอร์ในการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงการศึกษาอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้ไทย “ตกขบวน” การแข่งขันด้านพลังงานสะอาด

 

พลังงานสะอาด = ขีดความสามารถของประเทศ

นายวฤต ทิ้งท้ายว่า โลกวันนี้แข่งขันกันเรื่องพลังงานสะอาด ไม่ใช่แค่เพื่อลดคาร์บอน แต่เพื่อดึงดูดการลงทุน รักษาฐานอุตสาหกรรม และรับมือกับกติกาการค้าโลกใหม่อย่าง CBAM ที่เริ่มกดดันประเทศผู้ส่งออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

“SMR และไฮโดรเจน ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่เป็นโครงสร้างอนาคตของประเทศ กฟผ. พร้อมเดินหน้าสนับสนุนเต็มที่ เพื่อให้ไทยมีระบบไฟฟ้าที่มั่นคง ต้นทุนแข่งขันได้ และก้าวสู่การเป็นผู้นำพลังงานสีเขียวอย่างยั่งยืน”

 

 

 

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวล่าสุด

‘ชาติพัฒนา’ มีมติไม่ส่งผู้สมัคร สส. ชี้หลายปัจจัยไม่เอื้อพรรคเล็ก