PDP 2026 จุดเปลี่ยนพลังงานไทย จากก๊าซสู่พลังงานสะอาด และบทบาทใหม่ของ SMR
แผน PDP ฉบับใหม่ 2026 เปรียบเหมือน “สัญญาณปรับโครงสร้างพลังงานครั้งใหญ่” ทั้งในมิติพลังงานหมุนเวียน บทบาทก๊าซธรรมชาติ และการเปิดทางให้เทคโนโลยี SMR เข้ามามีส่วนในระบบผลิตไฟฟ้าไทยอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก
KEY
POINTS
- แผน PDP 2026 เป็นการปรับโครงสร้างพลังงานครั้งใหญ่เพื่อลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติที่กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤต และมุ่งสู่พลังงานสะอาดเพื่อตอบโจทย์เป้าหมาย Net Zero
- เทคโนโลยีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) จะถูกผลักดันให้มีบทบาทสำคัญขึ้นในฐานะพลังงานฐาน (Baseload) ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ เพื่อสร้างเสถียรภาพให้ระบบไฟฟ้าและลดความผันผวนของพลังงานหมุนเวียน
- รัฐจะกลับมามีบทบาทหลักในการผลิตไฟฟ้า โดยกำหนดสัดส่วนการผลิตของภาครัฐไว้ที่ 51% และเอกชน 49% เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มเดิมที่เอกชนมีบทบาทสูงขึ้น
ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานครั้งสำคัญ ความท้าทายหลักๆ มาจากเป้าหมาย Net Zero ที่ถูกเร่งให้เร็วขึ้นถึง 15 ปี ขณะเดียวกันรัฐบาลใหม่ก็ต้องเร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2026) เพื่อกำหนดทิศทางพลังงานในอีก 20 ปีข้างหน้า แผน PDP ฉบับนี้จึงเปรียบเหมือน “สัญญาณปรับโครงสร้างพลังงานครั้งใหญ่” ทั้งในมิติพลังงานหมุนเวียน บทบาทก๊าซธรรมชาติ และการเปิดทางให้เทคโนโลยี Small Modular Reactor (SMR) เข้ามามีส่วนในระบบผลิตไฟฟ้าไทยอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก
เร่งจัดทำ PDP ใน 3 เดือน เน้นความมั่นคง เศรษฐกิจ และคาร์บอนต่ำ
นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ย้ำว่าแผน PDP ใหม่ต้องตอบโจทย์ 3 หลักใหญ่ ได้แก่ ความมั่นคงพลังงาน, พลังงานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ, และ พลังงานคาร์บอนต่ำ โดยกระทรวงตั้งเป้าให้แผนเสร็จภายใน 3 เดือน เพื่อทันต่อการเปลี่ยนแปลงของความต้องการใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะโหลดจาก ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), ดาต้าเซ็นเตอร์, และการเติบโตของเทคโนโลยี AI ซึ่งทำให้ประเทศต้องเพิ่มไฟฟ้าให้มากขึ้นและสะอาดขึ้น
หนึ่งในทิศทางสำคัญคือ การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน และการขยายสัดส่วน SMR จากแผนเดิมที่ตั้งไว้เพียง 600 MW ในปี 2580 ซึ่งปลัดกระทรวงพลังงานระบุว่าจำเป็นต้อง “เพิ่มบทบาทมากขึ้น” พร้อมต้องออกกฎกติกาและกรอบกำกับดูแลให้เสร็จในช่วง 5 ปีแรก โดยมีการตั้งคณะทำงาน 4 อนุกรรมการเพื่อศึกษาโครงสร้างกฎหมายและองค์กรกำกับดูแลนิวเคลียร์ในอนาคต
รัฐถือสัดส่วนผลิตไฟฟ้า 51% จุดเริ่มต้นของสมดุลใหม่ระหว่างความมั่นคงและการแข่งขัน
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่สุดของ PDP 2026 คือ การกำหนดให้ภาครัฐถือกำลังผลิตไฟฟ้า 51% และเอกชน 49% ข้อมูลนี้เปิดเผยโดย นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)
ประเด็น 51%–49% นี้สะท้อนแนวโน้มใหม่ที่รัฐต้องการ “ดึงบทบาทกลับมา” เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบ ขณะเดียวกันก็ยังเปิดให้เอกชนแข่งขันได้ โดยเป็นการปรับจากแผน PDP 2018 ที่สัดส่วนรัฐลดลงเหลือประมาณ 35–40% ขึ้นอยู่กับปีของแผน (ข้อมูลสำนักงานนโยบายพลังงานในแผน PDP 2018 Revision)
ในอดีต กฟผ. (EGAT) เคยถือครองสัดส่วนกำลังผลิตสูงถึงราว 50% ของประเทศ แต่เมื่อเอกชนขยายบทบาทผ่านโครงสร้างการแข่งขันที่เปิดกว้าง สัดส่วนการผลิตของรัฐลดลงต่อเนื่อง รายงานจาก DFDL ระบุว่าในปี 2019 EGAT มีสัดส่วนการผลิตเหลือเพียงประมาณ 37% เท่านั้น ขณะที่บทวิเคราะห์ปี 2025 จาก Intellify Global ชี้ว่า สัดส่วนจริงของ EGAT อาจอยู่ที่เพียง 29.5% และบทความของ JustPow ยังระบุว่าเอกชนรวมกันถือครองกำลังผลิตมากกว่า 68–69% ของประเทศ แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างอำนาจการผลิตไฟฟ้าไทยได้เปลี่ยนจากรัฐเป็นศูนย์กลาง ไปสู่ระบบที่ภาคเอกชนเป็นผู้เล่นหลักอย่างชัดเจน
จึงถือได้ว่า PDP 2026 เป็นการพลิกแนวโน้มสำคัญที่ “รัฐกลับมาถือกำลังผลิตข้างมาก” อีกครั้ง
6 ประเด็นใหญ่ใน PDP 2026 จากบทบาท SMR ถึงตลาดเสรีไฟฟ้า
นายวัฒนพงษ์ให้ข้อมูลว่าแผน PDP ใหม่จะมีความชัดเจนใน 6 ด้านหลัก ได้แก่
1.สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าระหว่างภาครัฐควรอยู่ 51% และเอกชน 49% หรือไม่อย่างไร
2.ควรขยายหรือต่ออายุโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) และโรงไฟฟ้าพลังน้ำของ สปป.ลาว ที่ใกล้จะหมดอายุ
3.SMR ควรเข้ามาในระบบเร็วขึ้นหรือไม่ โดยพิจารณาจากความพร้อมของเทคโนโลยี กฎหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4.การเพิ่มขึ้นของการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง (IPS) จำเป็นต้องมีไฟฟ้าสำรอง (Backup) ให้หรือไม่ และควรมีกี่เปอร์เซ็นต์ รวมถึงควรรวมอยู่ในแผนฉบับใหม่ด้วยหรือไม่
5.เกณฑ์ความมั่นคงไฟฟ้า (LOLE) 0.7 วันต่อปี ควรเพิ่มหรือลดอย่างไร และควรกำหนดปริมาณไฟฟ้าสำรอง
6.ระบุแนวคิดการเปิดตลาดเสรี (Visual Powerplant and Direct PPA) ควรมีความชัดเจนมากขึ้น
7.การจัดทำพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าควรให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน
โดย สนพ. ระบุชัดว่า SMR จำเป็นต้องถูกบรรจุในแผน เพราะแม้จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 51% แต่ระบบโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อมรองรับพลังงานที่ผันผวน (intermittency) ได้เพียงพอ ทำให้ต้องมี “พลังงานฐาน (Baseload)” ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำเข้ามาเสริม
ก๊าซธรรมชาติ เชื้อเพลิงหลักที่กำลังถึงภาวะวิกฤต
หนึ่งในสัญญาณอันตรายที่สุดของระบบพลังงานไทยในขณะนี้ คือปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติของประเทศที่ลดลงจนเข้าขั้น “วิกฤต” ซึ่งนายคุรุจิต นาครทรรพ
ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมและพลังงานแห่งประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่า ไทยยังใช้ก๊าซธรรมชาติมากกว่า 60% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด (พึ่งพาถ่านหิน-ลิกไนต์อีกประมาณ 16%) ทำให้ต้นทุนผันผวนตามราคา LNG และความเสี่ยงด้านวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าเป็นสัดส่วนมากขึ้น
ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่มีการค้นพบแหล่งก๊าซใหม่มาตั้งแต่ปี 2548 ขณะที่แหล่งก๊าซจากพม่าและ JDA ลดลง การผลิตในประเทศก็ถดถอย ทำให้ไทยต้องพึ่งพา LNG นำเข้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลโดยตรงต่อค่าไฟ เพราะ LNG มีต้นทุนสูงที่สุดในระบบพลังงานไทยตอนนี้
สถานการณ์นี้ยังกระทบรายได้ภาครัฐจากค่าภาคหลวง ทำให้หลายบริษัทผู้รับสัมปทานเริ่มลดการลงทุนและถอนตัวบางส่วน นายคุรุจิตจึงเสนอให้เร่งเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมรอบใหม่ พร้อมปรับกฎระเบียบด้านภาษีและค่าภาคหลวงให้ดึงดูดการลงทุน หากไม่ดำเนินการ ประเทศจะเสี่ยงต่อ ความไม่มั่นคงไฟฟ้าในระยะกลางถึงยาว โดยเฉพาะเมื่อโหลดไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากภาคเทคโนโลยี
ภาคเอกชนหนุนให้ กฟผ. เป็น Backup Load พร้อมดัน Direct PPA
ในมุมของภาคอุตสาหกรรม นายนที สิทธิประศาสน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่าการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนจำเป็นต้องเดินคู่ขนานไปกับ “แผนพลังงานชาติ (NEP)” ซึ่งบูรณาการ 5 แผนหลัก ได้แก่ PDP, AEDP, EEP, Gas Plan และ Oil Plan โดยควรประกาศใช้ภายในปี 2568
นายนทีเสนอว่า กฟผ. ควรมีบทบาทเป็น Backup Load เพื่อรองรับไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ผันผวน และมองว่า Direct PPA ขนาด 2,000 MW ที่รัฐเปิดทางเป็น “ก้าวแรกของตลาดเสรีไฟฟ้าไทย” พร้อมเสนอให้กันส่วนหนึ่ง เช่น 500 MW ไว้ให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเดิมที่ช่วยระบบมานาน ไม่ใช่เปิดเฉพาะรายใหม่เท่านั้น
SMR – พลังงานฐานสะอาดที่ไทยเริ่ม“อัพไซซ์”
SMR ถูกจับตามองใน PDP 2026 เพราะเป็นพลังงานฐานที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ เหมาะกับเป้าหมาย Net Zero และต้นทุนเทคโนโลยีกำลังลดลง แผนเดิมกำหนดเพียง 600 MW ภายในปี 2580 แต่กระทรวงพลังงานระบุว่าต้อง “เพิ่มสัดส่วนมากขึ้น” เพื่อแก้ปัญหาความผันผวนของพลังงานหมุนเวียน และลดการพึ่งพา LNG ราคาแพง
อย่างไรก็ตาม การนำ SMR เข้าประเทศจำเป็นต้องมี
- ระบบกำกับดูแลใหม่
- กฎหมายรองรับ
- การประสานงานระหว่างหลายกระทรวง
- หน่วยงานควบคุมนิวเคลียร์อิสระหรือรูปแบบผสม
ทั้งหมดนี้ทำให้ประเทศไทยต้องเตรียมโครงสร้างสถาบันด้านนิวเคลียร์ใหม่ทั้งระบบในช่วง 5 ปีแรกตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน
บทสรุป PDP 2026 จะเป็นแผน “ปฏิรูปพลังงานไทย” ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
จากข้อมูลทั้งหมด แผน PDP 2026 คือจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง เพราะมีองค์ประกอบใหม่หลายด้าน ได้แก่
- รัฐถือสัดส่วนผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 51%
- ลดการพึ่งพาก๊าซท่ามกลางภาวะสำรองก๊าซที่วิกฤต
- เพิ่ม SMR เป็นพลังงานฐานใหม่รองรับ Net Zero
- เปิดทางตลาดเสรีผ่าน Direct PPA
- รองรับโหลดมหาศาลจาก AI – Data Center – EV
ทั้งหมดนี้ทำให้ PDP 2026 ไม่ใช่เพียงแผนผลิตไฟฟ้า แต่คือ “พิมพ์เขียวระบบพลังงานใหม่ของประเทศไทย” ที่จะกำหนดทั้งต้นทุนไฟฟ้า ความมั่นคง และศักยภาพการแข่งขันของประเทศในอีก 20 ปีข้างหน้า
ที่มา:
https://www.prachachat.net/economy/news-1928670


