posttoday

สแกมเมอร์รุกคืบ! จ่อ "ยึดชาติ" คุกคามอธิปไตย ผ่านกลไกฟอกเงิน

13 พฤศจิกายน 2568

เจาะเส้นทาง ‘ทุนเทา’ แฝงร่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ภัยความมั่นคงในรูปแบบการฟอกเงิน รุกคืบจ่อ "ยึดชาติ" คุกคามอธิปไตย

 

จากความน่ารำคาญใจบนหน้าจอโทรศัพท์ สู่ภัยคุกคามระดับชาติที่กำลังกัดกินโครงสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างเงียบเชียบ

 

วันนี้ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" หรือขบวนการสแกมเมอร์ ไม่ได้เป็นเพียงมิจฉาชีพที่คอยหลอกลวงเงินในระดับบุคคลอีกต่อไป แต่ได้กลายร่างเป็นอาชญากรรมเชิงระบบที่ทวีความซับซ้อน

 

ผสานเม็ดเงินผิดกฎหมายมหาศาลเข้ากับอิทธิพลทางการเมือง จนก่อเกิดเป็นภัยรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า "ทุนสีเทา"

 

วิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การฉกฉวยดูดเงินในกระเป๋าประชาชน แต่กำลังคืบคลานเข้าสู่ความพยายาม "ยึดประเทศ" จากภายใน

 

ผ่านกลไกทางการเงินและการเมืองที่แนบเนียนจนน่าใจหาย

 

สแกมเมอร์รุกคืบ! จ่อ "ยึดชาติ" คุกคามอธิปไตย ผ่านกลไกฟอกเงิน

 

เจาะเส้นทาง ‘ทุนเทา’  ภัยความมั่นคงในรูปแบบการฟอกเงิน

 

แก่นแท้จากการเปลี่ยนเงินสกปรกที่มาจากการรีดนาทาเร้นเหยื่อ ให้กลายเป็นอำนาจถูกต้องตามกฎหมาย คือ "กระบวนการฟอกเงิน" 

 

พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ถอดรหัสกลโกงดังกล่าวออกมาเป็น 4 ขั้นตอนสำคัญ ที่เผยให้เห็นว่าทุนสีเทาแทรกซึมเข้าสู่ประเทศไทยได้อย่างไร

 

1. อำพรางด้วยโลกดิจิทัล

ทันทีที่เหยื่อโอนเงิน เงินสดจะถูกแปลงสภาพเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลหรือ "คริปโตเคอร์เรนซี" (Cryptocurrency) อย่างรวดเร็ว เพื่อตัดตอนเส้นทางการเงิน ทำลายหลักฐาน และทำให้เจ้าหน้าที่รัฐแทบจะไม่สามารถแกะรอยธุรกรรมย้อนหลังได้

 

2. แปรสภาพสู่สินทรัพย์สากล

จากโลกดิจิทัล เงินสกปรกจะถูกเปลี่ยนรูปอีกครั้งเป็น "ทองคำ" ซึ่งเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ มูลค่าสูง และเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ทองคำจึงกลายเป็นพาหนะชั้นดีในการขนย้ายและแลกเปลี่ยน โดยที่ยังคงมูลค่าเดิมไว้และตรวจสอบได้ยากยิ่งขึ้น

 

 

3. ซื้อเกราะคุ้มกัน

เมื่อเงินพร้อมเข้าสู่ระบบ ขั้นตอนนี้คือการหา "ใบเบิกทาง" เครือข่ายสีเทาจะวิ่งเข้าหาผู้มีอิทธิพลในไทย ทั้งข้าราชการและนักการเมือง เพื่อแลกกับความคุ้มครองและการอำนวยความสะดวก แลกกับการดำเนินกิจกรรมสีเทาในราชอาณาจักรไทยได้อย่างไร้รอยต่อ

 

4. ฟอกขาวผ่านธุรกิจไทย

ขั้นตอนสุดท้ายคือการแปลงเงินให้ขาวสะอาดอย่างสมบูรณ์ผ่านการลงทุนในธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เอื้อต่อการหมุนเวียนเงินก้อนใหญ่ เช่น

 

  • อสังหาริมทรัพย์: ซื้อโครงการมูลค่าสูงเพื่อเทเงินลงในสินทรัพย์เดียว

 

  • เกษตรแปลงใหญ่: อาศัยความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานบังหน้า

 

  • ตลาดหุ้น: เน้นกลุ่มหุ้นบลูชิพ (Blue Chip) เพื่อสร้างภาพลักษณ์นักลงทุนที่น่าเชื่อถือและเคลื่อนย้ายทุนได้ไว

 

สแกมเมอร์รุกคืบ! จ่อ "ยึดชาติ" คุกคามอธิปไตย ผ่านกลไกฟอกเงิน

 

กลยุทธ์ "ยอมขาดทุน" เพื่อยึดครอง

 

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของขบวนการนี้คือ โมเดลธุรกิจที่ไม่ได้ทำเพื่อแสวงหากำไร แต่เป้าหมายคือการ "สร้างหลักฐานรายได้" 

 

ทุนเทายินดีที่จะจ่ายแพงกว่าความเป็นจริง เช่น ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในราคา 200 ล้านบาท ทั้งที่ราคาตลาดอยู่ที่ 100 ล้านบาท และพร้อมจะขายออกไปในราคาขาดทุนที่ 100 ล้านบาท

 

ส่วนต่างที่หายไปไม่ใช่ปัญหา เพราะต้นทุนเดิมของคนกลุ่มนี้คือศูนย์ (เงินที่ได้จากการโกง) แต่เงิน 100 ล้านบาทที่ได้กลับมาจากการขายทรัพย์สิน จะกลายเป็น "เงินสะอาด" มีที่มาที่ไปทางบัญชีทันที

 

กลยุทธ์ยอมขาดทุนเพื่อฟอกเงิน  ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ประกอบการไทยที่ทำมาหากินสุจริต เพราะไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับกลุ่มทุนที่ไม่สนกำไรขาดทุนได้

 

ท้ายที่สุด ธุรกิจท้องถิ่นก็จำต้องล้มหายตายจาก เปิดทางให้ทุนสีเทาเข้ายึดครองตลาด และเมื่อฐานเศรษฐกิจถูกครอบงำ

 

ก้าวต่อไปที่น่าสะพรึงกลัวกว่านั้น คือการรวบอำนาจทางการเมืองไว้ในกำมือ

 

สแกมเมอร์รุกคืบ! จ่อ "ยึดชาติ" คุกคามอธิปไตย ผ่านกลไกฟอกเงิน

 

“ทุนดำ” รุกคืบยึดสภา ภัยคุกคามอธิปไตยยิ่งกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์

 

วิกฤต "แก๊งสแกมเมอร์" ในวันนี้ ไม่ใช่เพียงภัยคุกคามระดับบุคคลที่จ้องฉกชิงทรัพย์สินประชาชนอีกต่อไป หากแต่กำลังกลายร่างเป็นภัยความมั่นคงระดับชาติ

 

เม็ดเงินสกปรกหลายพันล้านบาทกำลังถูกแปรสภาพและลำเลียงเข้าสู่ระบบการเมืองไทยอย่างเป็นขบวนการ

 

ก่อให้เกิด "พันธมิตร" ระหว่างอาชญากรข้ามชาติกับนักการเมือง ที่ต่างฝ่ายต่างพึ่งพาผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน

 

ความสัมพันธ์รูปแบบนี้ เปรียบเสมือนการ "ยื่นหมูยื่นแมว" โดยฝั่งนักการเมืองบางกลุ่มต้องการเงินทุนเพื่อขยายฐานอำนาจ

 

ขณะที่เครือข่ายอาชญากรรมต้องการ "ร่มเงาคุ้มครอง" และนโยบายรัฐที่เอื้อให้สามารถดำเนินธุรกิจสีเทาต่อไปได้สะดวก

 

สัญญาณดังกล่าวยิ่งทวีความชัดเจน จากข้อมูลของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ออกมาตอกย้ำว่า

 

กลุ่มทุนสีเทาอาจเตรียมระดมทุนมหาศาลถึง 20,000 ล้านบาท ในการกว้านซื้อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยมีการตั้งราคาค่าหัวสูงลิ่วถึงรายละ 50-70 ล้านบาท

 

เป้าหมายสูงสุดของขบวนการนี้ ไม่ใช่แค่ต้องการคนคอยเคลียร์ทางหนีทีไล่ แต่คือการรุกคืบเข้าไป "แก้ไขกฎหมายของประเทศ"

 

นอกจากนี้ พล.ท.พงศกร ได้ชี้ให้เห็นประเด็นที่น่ากังวลว่า ข้อเรียกร้องหลักที่กลุ่มทุนเหล่านี้ต้องการแลกเปลี่ยน คือการผลักดันนโยบายที่เอื้อให้ชาวต่างชาติสามารถถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในไทยได้ง่ายขึ้น 

 

ซึ่งในความเป็นจริง คือกลยุทธ์การสร้างความชอบธรรมในการเข้ายึดครองทางเศรษฐกิจอย่างเบ็ดเสร็จ

 

รูปแบบเดียวกับหายนะที่เคยเกิดขึ้นจนทำลายเมืองสีหนุวิลล์ของกัมพูชา หรือแม้วิกฤตราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสูงในสิงคโปร์มาแล้ว

 

อำนาจเงินตราของทุนสีเทา มีอานุภาพรุนแรงถึงขั้นที่กำลังสั่นคลอนและท้าทายระบบการเมืองแบบ "บ้านใหญ่" ที่ครอบงำการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน

 

และมีแนวโน้มว่าอำนาจเงินตราสกปรกนี้ อาจเข้ามายึดครองพื้นที่ทางการเมืองแทนที่ขั้วอำนาจเดิมในไม่ช้า

 

สแกมเมอร์รุกคืบ! จ่อ "ยึดชาติ" คุกคามอธิปไตย ผ่านกลไกฟอกเงิน

 

ผ่าทางตัน "วาระแห่งชาติ" ปราบสแกมเมอร์

 

ท่ามกลางวิกฤตอาชญากรรมข้ามชาติที่ทวีความรุนแรง รัฐบาลกำลังเผชิญบททดสอบครั้งใหญ่เพราะสังคมเริ่มตั้งคำถามหนาหูถึงประสิทธิภาพการทำงาน

 

ที่ยังเป็นฝ่าย "ตั้งรับ" และไร้ผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าภาครัฐกำลังใส่ "เกียร์ว่าง" กับปัญหานี้หรือไม่

 

ภาพความล่าช้าของรัฐบาลไทยสะท้อนให้เห็นชัดเจนเมื่อเทียบกับการดำเนินการของรัฐบาลเกาหลีใต้ ซึ่งใช้มาตรการทางการทูตเชิงรุกทันทีที่มีพลเมืองเสียชีวิตเพียงรายเดียว

 

โดยส่งระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรุดเจรจากดดันรัฐบาลกัมพูชาโดยตรง ต่างจากท่าทีของไทยที่ยังดูคลุมเครือ

 

สถานการณ์ของรัฐบาลไทยยิ่งเปราะบางขึ้น เมื่อถูกซ้ำเติมด้วยแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์จากสหรัฐอเมริกา

 

ที่ล่าสุดมีการเสนอร่างกฎหมายคว่ำบาตรเจาะจงบุคคลและองค์กรถึง 43 รายชื่อ ซึ่งถูกระบุว่ามีส่วนพัวพันกับเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ เปรียบเสมือนการส่งสัญญาณเตือนและบีบให้รัฐบาลไทยต้องเร่งจัดการปัญหาอย่างจริงจัง

 

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าขบวนการ "สแกมเมอร์" ถูกยกระดับให้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ทั้งในเวทีระหว่างประเทศและกลุ่มอำนาจภายใน 

 

ส่งผลให้รัฐบาลตกอยู่ในสภาวะ "ถูกล้อมกรอบ" ที่ต้องคำนวณหมากการเมืองอย่างรอบคอบ ท่ามกลางผลได้ผลเสียที่ซับซ้อนเกินกว่าจะตัดสินใจได้อย่างอิสระ

 

สแกมเมอร์รุกคืบ! จ่อ "ยึดชาติ" คุกคามอธิปไตย ผ่านกลไกฟอกเงิน

 

เดิมพันครั้งใหญ่ชี้ชะตาประชาธิปไตย

 

สัญญาณเตือนจากหลายภาคส่วนชี้ชัดตรงกันว่า หากปล่อยให้ "ทุนดำ" หรือเม็ดเงินสกปรกจากธุรกิจสีเทาแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างอำนาจรัฐและยึดกุมกลไกทางการเมืองได้สำเร็จ

 

สิ่งที่ตามมาคือ "ความพังพินาศทั้งระบบของชาติ"

 

"สแกมเมอร์" จึงไม่ใช่แค่เรื่องของอาชญากรรมทั่วไป แต่เป็น "วาระเร่งด่วน" ที่ประชาชนต้องรู้เท่าทัน

 

วิกฤตนี้กำลังคืบคลานเข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทย ประชาชนจำเป็นต้องแสดงเจตจำนงที่แข็งกร้าวด้วยการปฏิเสธพรรคการเมืองและผู้ลงสมัครเลือกตั้งที่ใช้เงินสกปรกจากเครือข่ายอาชญากรรมมาปูทางสู่อำนาจ

 

การต่อสู้ในครั้งนี้คือจุดวัดใจว่า อนาคตของประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปในฐานะ "รัฐที่ปกครองด้วยหลักนิติธรรม" หรือจะถดถอยลงคลองกลายเป็นเพียง "รัฐหุ่นเชิด"

 

ที่ถูกชักใยโดยองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ... ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้

ข่าวล่าสุด

“จุลพันธ์” ผนึกประชาชาติ ลุยหาดใหญ่ จวกรัฐบาลบริหารน้ำท่วมพลาด