สแกมเมอร์รุกคืบ! จ่อ "ยึดชาติ" คุกคามอธิปไตย ผ่านกลไกฟอกเงิน
เจาะเส้นทาง ‘ทุนเทา’ แฝงร่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ภัยความมั่นคงในรูปแบบการฟอกเงิน รุกคืบจ่อ "ยึดชาติ" คุกคามอธิปไตย
จากความน่ารำคาญใจบนหน้าจอโทรศัพท์ สู่ภัยคุกคามระดับชาติที่กำลังกัดกินโครงสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างเงียบเชียบ
วันนี้ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" หรือขบวนการสแกมเมอร์ ไม่ได้เป็นเพียงมิจฉาชีพที่คอยหลอกลวงเงินในระดับบุคคลอีกต่อไป แต่ได้กลายร่างเป็นอาชญากรรมเชิงระบบที่ทวีความซับซ้อน
ผสานเม็ดเงินผิดกฎหมายมหาศาลเข้ากับอิทธิพลทางการเมือง จนก่อเกิดเป็นภัยรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า "ทุนสีเทา"
วิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การฉกฉวยดูดเงินในกระเป๋าประชาชน แต่กำลังคืบคลานเข้าสู่ความพยายาม "ยึดประเทศ" จากภายใน
ผ่านกลไกทางการเงินและการเมืองที่แนบเนียนจนน่าใจหาย
เจาะเส้นทาง ‘ทุนเทา’ ภัยความมั่นคงในรูปแบบการฟอกเงิน
แก่นแท้จากการเปลี่ยนเงินสกปรกที่มาจากการรีดนาทาเร้นเหยื่อ ให้กลายเป็นอำนาจถูกต้องตามกฎหมาย คือ "กระบวนการฟอกเงิน"
พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ถอดรหัสกลโกงดังกล่าวออกมาเป็น 4 ขั้นตอนสำคัญ ที่เผยให้เห็นว่าทุนสีเทาแทรกซึมเข้าสู่ประเทศไทยได้อย่างไร
1. อำพรางด้วยโลกดิจิทัล
ทันทีที่เหยื่อโอนเงิน เงินสดจะถูกแปลงสภาพเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลหรือ "คริปโตเคอร์เรนซี" (Cryptocurrency) อย่างรวดเร็ว เพื่อตัดตอนเส้นทางการเงิน ทำลายหลักฐาน และทำให้เจ้าหน้าที่รัฐแทบจะไม่สามารถแกะรอยธุรกรรมย้อนหลังได้
2. แปรสภาพสู่สินทรัพย์สากล
จากโลกดิจิทัล เงินสกปรกจะถูกเปลี่ยนรูปอีกครั้งเป็น "ทองคำ" ซึ่งเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ มูลค่าสูง และเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ทองคำจึงกลายเป็นพาหนะชั้นดีในการขนย้ายและแลกเปลี่ยน โดยที่ยังคงมูลค่าเดิมไว้และตรวจสอบได้ยากยิ่งขึ้น
3. ซื้อเกราะคุ้มกัน
เมื่อเงินพร้อมเข้าสู่ระบบ ขั้นตอนนี้คือการหา "ใบเบิกทาง" เครือข่ายสีเทาจะวิ่งเข้าหาผู้มีอิทธิพลในไทย ทั้งข้าราชการและนักการเมือง เพื่อแลกกับความคุ้มครองและการอำนวยความสะดวก แลกกับการดำเนินกิจกรรมสีเทาในราชอาณาจักรไทยได้อย่างไร้รอยต่อ
4. ฟอกขาวผ่านธุรกิจไทย
ขั้นตอนสุดท้ายคือการแปลงเงินให้ขาวสะอาดอย่างสมบูรณ์ผ่านการลงทุนในธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เอื้อต่อการหมุนเวียนเงินก้อนใหญ่ เช่น
- อสังหาริมทรัพย์: ซื้อโครงการมูลค่าสูงเพื่อเทเงินลงในสินทรัพย์เดียว
- เกษตรแปลงใหญ่: อาศัยความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานบังหน้า
- ตลาดหุ้น: เน้นกลุ่มหุ้นบลูชิพ (Blue Chip) เพื่อสร้างภาพลักษณ์นักลงทุนที่น่าเชื่อถือและเคลื่อนย้ายทุนได้ไว
กลยุทธ์ "ยอมขาดทุน" เพื่อยึดครอง
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของขบวนการนี้คือ โมเดลธุรกิจที่ไม่ได้ทำเพื่อแสวงหากำไร แต่เป้าหมายคือการ "สร้างหลักฐานรายได้"
ทุนเทายินดีที่จะจ่ายแพงกว่าความเป็นจริง เช่น ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในราคา 200 ล้านบาท ทั้งที่ราคาตลาดอยู่ที่ 100 ล้านบาท และพร้อมจะขายออกไปในราคาขาดทุนที่ 100 ล้านบาท
ส่วนต่างที่หายไปไม่ใช่ปัญหา เพราะต้นทุนเดิมของคนกลุ่มนี้คือศูนย์ (เงินที่ได้จากการโกง) แต่เงิน 100 ล้านบาทที่ได้กลับมาจากการขายทรัพย์สิน จะกลายเป็น "เงินสะอาด" มีที่มาที่ไปทางบัญชีทันที
กลยุทธ์ยอมขาดทุนเพื่อฟอกเงิน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ประกอบการไทยที่ทำมาหากินสุจริต เพราะไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับกลุ่มทุนที่ไม่สนกำไรขาดทุนได้
ท้ายที่สุด ธุรกิจท้องถิ่นก็จำต้องล้มหายตายจาก เปิดทางให้ทุนสีเทาเข้ายึดครองตลาด และเมื่อฐานเศรษฐกิจถูกครอบงำ
ก้าวต่อไปที่น่าสะพรึงกลัวกว่านั้น คือการรวบอำนาจทางการเมืองไว้ในกำมือ
“ทุนดำ” รุกคืบยึดสภา ภัยคุกคามอธิปไตยยิ่งกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์
วิกฤต "แก๊งสแกมเมอร์" ในวันนี้ ไม่ใช่เพียงภัยคุกคามระดับบุคคลที่จ้องฉกชิงทรัพย์สินประชาชนอีกต่อไป หากแต่กำลังกลายร่างเป็นภัยความมั่นคงระดับชาติ
เม็ดเงินสกปรกหลายพันล้านบาทกำลังถูกแปรสภาพและลำเลียงเข้าสู่ระบบการเมืองไทยอย่างเป็นขบวนการ
ก่อให้เกิด "พันธมิตร" ระหว่างอาชญากรข้ามชาติกับนักการเมือง ที่ต่างฝ่ายต่างพึ่งพาผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
ความสัมพันธ์รูปแบบนี้ เปรียบเสมือนการ "ยื่นหมูยื่นแมว" โดยฝั่งนักการเมืองบางกลุ่มต้องการเงินทุนเพื่อขยายฐานอำนาจ
ขณะที่เครือข่ายอาชญากรรมต้องการ "ร่มเงาคุ้มครอง" และนโยบายรัฐที่เอื้อให้สามารถดำเนินธุรกิจสีเทาต่อไปได้สะดวก
สัญญาณดังกล่าวยิ่งทวีความชัดเจน จากข้อมูลของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ออกมาตอกย้ำว่า
กลุ่มทุนสีเทาอาจเตรียมระดมทุนมหาศาลถึง 20,000 ล้านบาท ในการกว้านซื้อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยมีการตั้งราคาค่าหัวสูงลิ่วถึงรายละ 50-70 ล้านบาท
เป้าหมายสูงสุดของขบวนการนี้ ไม่ใช่แค่ต้องการคนคอยเคลียร์ทางหนีทีไล่ แต่คือการรุกคืบเข้าไป "แก้ไขกฎหมายของประเทศ"
นอกจากนี้ พล.ท.พงศกร ได้ชี้ให้เห็นประเด็นที่น่ากังวลว่า ข้อเรียกร้องหลักที่กลุ่มทุนเหล่านี้ต้องการแลกเปลี่ยน คือการผลักดันนโยบายที่เอื้อให้ชาวต่างชาติสามารถถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในไทยได้ง่ายขึ้น
ซึ่งในความเป็นจริง คือกลยุทธ์การสร้างความชอบธรรมในการเข้ายึดครองทางเศรษฐกิจอย่างเบ็ดเสร็จ
รูปแบบเดียวกับหายนะที่เคยเกิดขึ้นจนทำลายเมืองสีหนุวิลล์ของกัมพูชา หรือแม้วิกฤตราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสูงในสิงคโปร์มาแล้ว
อำนาจเงินตราของทุนสีเทา มีอานุภาพรุนแรงถึงขั้นที่กำลังสั่นคลอนและท้าทายระบบการเมืองแบบ "บ้านใหญ่" ที่ครอบงำการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน
และมีแนวโน้มว่าอำนาจเงินตราสกปรกนี้ อาจเข้ามายึดครองพื้นที่ทางการเมืองแทนที่ขั้วอำนาจเดิมในไม่ช้า
ผ่าทางตัน "วาระแห่งชาติ" ปราบสแกมเมอร์
ท่ามกลางวิกฤตอาชญากรรมข้ามชาติที่ทวีความรุนแรง รัฐบาลกำลังเผชิญบททดสอบครั้งใหญ่เพราะสังคมเริ่มตั้งคำถามหนาหูถึงประสิทธิภาพการทำงาน
ที่ยังเป็นฝ่าย "ตั้งรับ" และไร้ผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าภาครัฐกำลังใส่ "เกียร์ว่าง" กับปัญหานี้หรือไม่
ภาพความล่าช้าของรัฐบาลไทยสะท้อนให้เห็นชัดเจนเมื่อเทียบกับการดำเนินการของรัฐบาลเกาหลีใต้ ซึ่งใช้มาตรการทางการทูตเชิงรุกทันทีที่มีพลเมืองเสียชีวิตเพียงรายเดียว
โดยส่งระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรุดเจรจากดดันรัฐบาลกัมพูชาโดยตรง ต่างจากท่าทีของไทยที่ยังดูคลุมเครือ
สถานการณ์ของรัฐบาลไทยยิ่งเปราะบางขึ้น เมื่อถูกซ้ำเติมด้วยแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์จากสหรัฐอเมริกา
ที่ล่าสุดมีการเสนอร่างกฎหมายคว่ำบาตรเจาะจงบุคคลและองค์กรถึง 43 รายชื่อ ซึ่งถูกระบุว่ามีส่วนพัวพันกับเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ เปรียบเสมือนการส่งสัญญาณเตือนและบีบให้รัฐบาลไทยต้องเร่งจัดการปัญหาอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าขบวนการ "สแกมเมอร์" ถูกยกระดับให้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง ทั้งในเวทีระหว่างประเทศและกลุ่มอำนาจภายใน
ส่งผลให้รัฐบาลตกอยู่ในสภาวะ "ถูกล้อมกรอบ" ที่ต้องคำนวณหมากการเมืองอย่างรอบคอบ ท่ามกลางผลได้ผลเสียที่ซับซ้อนเกินกว่าจะตัดสินใจได้อย่างอิสระ
เดิมพันครั้งใหญ่ชี้ชะตาประชาธิปไตย
สัญญาณเตือนจากหลายภาคส่วนชี้ชัดตรงกันว่า หากปล่อยให้ "ทุนดำ" หรือเม็ดเงินสกปรกจากธุรกิจสีเทาแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างอำนาจรัฐและยึดกุมกลไกทางการเมืองได้สำเร็จ
สิ่งที่ตามมาคือ "ความพังพินาศทั้งระบบของชาติ"
"สแกมเมอร์" จึงไม่ใช่แค่เรื่องของอาชญากรรมทั่วไป แต่เป็น "วาระเร่งด่วน" ที่ประชาชนต้องรู้เท่าทัน
วิกฤตนี้กำลังคืบคลานเข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทย ประชาชนจำเป็นต้องแสดงเจตจำนงที่แข็งกร้าวด้วยการปฏิเสธพรรคการเมืองและผู้ลงสมัครเลือกตั้งที่ใช้เงินสกปรกจากเครือข่ายอาชญากรรมมาปูทางสู่อำนาจ
การต่อสู้ในครั้งนี้คือจุดวัดใจว่า อนาคตของประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปในฐานะ "รัฐที่ปกครองด้วยหลักนิติธรรม" หรือจะถดถอยลงคลองกลายเป็นเพียง "รัฐหุ่นเชิด"
ที่ถูกชักใยโดยองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ... ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้


