เผยไทยกำลังขึ้นแท่น ศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ของอาเซียน
KKP เผยไทยกำลังขึ้นแท่นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ของอาเซียน ดึงดูด Hyperscaler ทั่วโลก หนุนเศรษฐกิจดิจิทัล-พลังงาน-EEC เติบโตแข็งแกร่ง
KEY
POINTS
- ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ของอาเซียน เนื่องจากผู้ให้บริการรายใหญ่ระดับโลก (Hyperscaler) ย้ายฐานการลงทุนจากสิงคโปร์และมาเลเซียที่เผชิญข้อจำกัดด้านพื้นที่และพลังงาน
- จุดแข็งสำคัญของไทยที่ดึงดูดการลงทุนคือความมั่นคงด้านพลังงาน โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และกระบวนการอนุญาตที่ยืดหยุ่นกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ทำให้เป็นตลาดที่มีความสมดุลและศักยภาพสูง
- การลงทุนขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยมีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง AWS, Google และ Microsoft เข้ามาตั้งฐานในพื้นที่ศักยภาพ เช่น กรุงเทพฯ และเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อรองรับเทคโนโลยี AI และ Cloud Computing ขนาดใหญ่
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS เปิดเผยผลการพูดคุยกับ DCByte บริษัทวิจัยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับโลก ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางกระแสการย้ายฐานลงทุนของผู้ให้บริการขนาดใหญ่ระดับโลก (Hyperscaler) จากสิงคโปร์และยะโฮร์ ประเทศมาเลเซีย เข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันประเทศไทยมีโครงการดาต้าเซ็นเตอร์รวมราว 4.5–4.6 กิกะวัตต์ ซึ่งใกล้เคียงกับตลาดขนาดกลางของภูมิภาค โดยมาเลเซียมีอยู่ราว 8–9 กิกะวัตต์ (เฉพาะยะโฮร์คิดเป็นกว่า 5 กิกะวัตต์) ส่วนสิงคโปร์มีขนาดตลาดเพียงราว 2 กิกะวัตต์ เท่านั้น ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไทยกำลังกลายเป็น “จุดหมายถัดไป” ของการขยายฐานดาต้าเซ็นเตอร์ในภูมิภาคนี้
จุดแข็งของไทยเหนือประเทศเพื่อนบ้าน
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ไทยโดดเด่น คือ ข้อจำกัดของประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ที่เริ่มจำกัดการเพิ่มกำลังผลิตใหม่ และยะโฮร์ที่เริ่มเผชิญปัญหาด้านพลังงานและทรัพยากร ทำให้ผู้ประกอบการระดับโลกต้องมองหาพื้นที่ใหม่ที่พร้อมรองรับการลงทุน และประเทศไทยคือคำตอบ
จุดแข็งหลักๆ ของไทย ได้แก่
- ความมั่นคงด้านพลังงานและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งกว่า
- กระบวนการอนุญาตที่ยืดหยุ่นกว่าในภูมิภาค
- ความหนาแน่นของประชากรที่ต่ำกว่า เหมาะสมต่อการตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่
ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ยังมีข้อจำกัด เช่น ฟิลิปปินส์เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ อินโดนีเซียมีต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานสูง และเวียดนามยังมีข้อกฎหมายที่ซับซ้อน ไทยจึงถือเป็น “ตลาดที่สมดุลระหว่างศักยภาพและความเป็นไปได้เชิงปฏิบัติ” แม้ยังต้องพัฒนาในด้านมาตรฐานอุตสาหกรรม ความโปร่งใส และบุคลากรทักษะสูง
ทำเลศักยภาพ กรุงเทพฯ และ EEC
การลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยกำลังขยายจากกรุงเทพฯ ไปยังพื้นที่โดยรอบ เช่น ปทุมธานี สมุทรปราการ และชลบุรี รวมถึงพื้นที่ในเขต EEC (Eastern Economic Corridor) อย่างฉะเชิงเทรา–ชลบุรี–ระยอง ซึ่งกลายเป็นจุดศูนย์กลางของโครงการขนาดใหญ่ (ตั้งแต่ 100 เมกะวัตต์ขึ้นไป) ที่มุ่งรองรับงานด้าน AI และ Cloud Computing
- กรุงเทพฯ เหมาะกับศูนย์ขนาดเล็ก ที่เน้นความเร็วสูงในการเชื่อมต่อ บริการคลาวด์ ธนาคาร และคอนเทนต์
- EEC เน้นโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานมากและสามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ในอนาคตได้ดี
ภาครัฐยังให้ความสำคัญกับการจัดสรรพลังงานแก่โครงการที่มีความพร้อมจริง พร้อมทั้งเตรียมเปิดระบบ ซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct Power Purchase) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการลงทุนในอนาคต
ตลาดไทยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของ Hyperscaler
ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยน จากเดิมที่เน้นโมเดล Colocation (การเช่าพื้นที่ติดตั้งเซิร์ฟเวอร์) มาสู่การลงทุนโดยตรงของผู้ให้บริการระดับโลก หรือ Hyperscaler ซึ่งปัจจุบันครองส่วนแบ่งมากกว่า 80% ของความต้องการทั้งหมด
ฝั่งตะวันตก:
Amazon Web Services (AWS) เริ่มก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ของตนเองในไทย
Google ซื้อที่ดินและเตรียมเริ่มสร้างศูนย์ในประเทศ
Microsoft ปรับกลยุทธ์มาเช่าพื้นที่ระยะสั้นเพื่อเริ่มดำเนินงานระยะสั้น
ฝั่งจีน:
ByteDance เป็นผู้ใช้รายใหญ่ที่สุด
Alibaba และ Tencent ขยายการให้บริการผ่านพันธมิตรโคโลเคชั่นในไทย
ผลกระทบจากข้อจำกัดการส่งออกชิปของสหรัฐฯ
แม้รัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ระหว่างพิจารณากฎควบคุมการส่งออกชิปประมวลผลขั้นสูง (GPU) เพื่อป้องกันการส่งต่อไปยังจีน ซึ่งอาจทำให้ไทยต้องขอใบอนุญาตเพิ่มเติมในการนำเข้าชิปบางประเภท แต่ ผลกระทบที่เกิดขึ้นคาดว่าจะมีเพียงในเชิงเทคนิค ไม่ใช่เชิงโครงสร้าง นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นว่ากระบวนการอนุญาตสามารถบริหารจัดการได้ และจะไม่เป็นอุปสรรคต่อแนวโน้มการลงทุนด้าน AI และดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยในระยะยาว
"ดาต้าเซ็นเตอร์" โครงสร้างพื้นฐานใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัล
KKP มองว่า การลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์คือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเทคโนโลยี พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตไปพร้อมกัน
“ดาต้าเซ็นเตอร์คือโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต การที่ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นจุดหมายใหม่ของ Hyperscaler ทั่วโลก ไม่เพียงสะท้อนความพร้อมด้านเทคโนโลยีและพลังงาน แต่ยังแสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของประเทศ”


