กพอ. ไฟเขียวแผนพัฒนาโครงสร้างฯดิจิทัล EEC มุ่ง “ASEAN Digital Hub”
กพอ. เห็นชอบแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอีอีซี ปี 2567–2570 มุ่งยกระดับสู่ศูนย์กลางข้อมูลอาเซียน พร้อมเผยความคืบหน้า 46 เขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่
KEY
POINTS
- คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) มีมติเห็นชอบ "ร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล พ.ศ. 2567–2570" เพื่อยกระดับ EEC สู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียน (ASEAN Digital Hub)
- แผนดังกล่าวมีแนวทางหลัก 2 ด้าน คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคม
- โครงการสำคัญภายใต้แผนประกอบด้วย การยกระดับโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ การวางผังโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้สอดคล้องกับระบบสาธารณูปโภค และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ที่ห้องประชุม Conference อาคารโทรคมนาคม (NT) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 5/2568 โดยมีนายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ทำหน้าที่เลขานุการ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติสำคัญหลายประการที่สะท้อนถึงการขับเคลื่อนอีอีซีให้เป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลและอุตสาหกรรมใหม่ของภูมิภาค”
1. เห็นชอบ “ร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล พ.ศ. 2567–2570” เพื่อยกระดับอีอีซีให้พร้อมรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ แผนดังกล่าวมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการดิจิทัลให้มีความทันสมัย มีประสิทธิภาพ และรองรับการลงทุนด้านเทคโนโลยีในอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ พร้อมสร้างเมืองน่าอยู่อัจฉริยะในระดับนานาชาติ
แผนปฏิบัติการนี้ประกอบด้วย 2 แนวทางหลัก ได้แก่
แนวทางที่ 1: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล
แนวทางที่ 2: เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ มีโครงการสำคัญ เช่น
- โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ สู่การเป็น “ASEAN Digital Hub”
- โครงการวางผังโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ให้สอดคล้องกับระบบคมนาคมและสาธารณูปโภคในพื้นที่
- แผนงานปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมด้านดิจิทัล
- แผนยกระดับเมืองอัจฉริยะและการให้บริการภาครัฐแบบดิจิทัล เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและประชาชน
ที่ประชุมมอบหมายให้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยหลักในการกำกับ ติดตาม และรายงานความคืบหน้า โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนปฏิบัติการและของบประมาณในอนาคต
2. รับทราบผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของ พ.ร.บ. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 สกพอ. มอบหมายให้มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชเป็นที่ปรึกษาในการประเมินผล ซึ่งได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่กว่า 350 คน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและผู้บริหารของสกพอ.
ผลการประเมินชี้ว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้ ยังคงมีความจำเป็นและเหมาะสมต่อการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ เนื่องจากอีอีซีเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศที่มุ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่ระดับสากล กฎหมายฉบับนี้ช่วยส่งเสริมการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมผลักดันให้ภาครัฐให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ลดอุปสรรคและต้นทุนของผู้ประกอบการ อีกทั้งยังไม่ซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น
นอกจากนี้ กฎหมายยังมีบทบาทสำคัญในการ ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางสังคม ผ่านกองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งช่วยพัฒนาพื้นที่และชุมชน เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการพัฒนา และให้ทุนการศึกษาแก่คนในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้อย่างเป็นรูปธรรม
3. รับทราบความก้าวหน้าการพัฒนาอีอีซี สู่ยุคใหม่ของเขตเศรษฐกิจพิเศษ ปัจจุบัน สกพอ. ได้ขับเคลื่อนให้เกิดการจัดตั้ง เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษรวม 46 แห่ง (อยู่ระหว่างเสนอ ครม. อีก 7 แห่ง) แบ่งเป็น
- นิคมอุตสาหกรรม 32 แห่ง
- เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการเฉพาะ 9 แห่ง
- เขตที่เอกชนจัดตั้งเฉพาะอุตสาหกรรม 5 แห่ง
พร้อมกันนี้ สกพอ. ยังพัฒนาระบบบริการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (EEC-OSS) ที่ให้บริการแล้วมากกว่า 50 รายการครอบคลุมตั้งแต่การขอจัดตั้งเขตเศรษฐกิจ การขอรับสิทธิประโยชน์ ไปจนถึงการอนุญาตตามกฎหมายต่างๆ เช่น การขุดดินถมดิน การก่อสร้างอาคาร และด้านสาธารณสุข


