พลิกโฉมหลังคา สู่แหล่งผลิตไฟฟ้าโซลาร์ กำลังผลิต 3.45 ล้านกิโลวัตต์ต่อปี!
จากหลังคาโรงงานสู่พลังงานสะอาด THIP ใช้โซลาร์รูฟท็อป ลดต้นทุนไฟฟ้า พร้อมสร้างอนาคตคาร์บอนต่ำ ชี้ไม่ใช่เพียง “ทางเลือก” แต่คือ “ความจำเป็นเชิงกลยุทธ์”
KEY
POINTS
- บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม (THIP) ได้ติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาโรงงาน เพื่อเปลี่ยนเป็นแหล่งผลิตพลังงานสะอาด ล่าสุดสามารถผลิตไฟฟ้าได้รวมประมาณ 3.45 ล้านกิโลวัตต์ต่อปี ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
- โครงการนี้ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ราว 18% ต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 2,067 ตันต่อปี
- THIP มีแผนจะขยายระบบโซลาร์รูฟท็อปให้ครอบคลุมทุกอาคารในโรงงาน รวมถึงสำรวจแนวทางพลังงานสะอาดอื่น ๆ และการใช้ AI มาเป็นเครื่องมือบริหารจัดการพลังงานอย่างชาญฉลาด
"ทานตะวันอุตสาหกรรม" พลิกโฉมหลังคาโรงงานสู่แหล่งผลิตพลังงานสะอาด
“ความยั่งยืน” (sustainability) ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่กลายเป็นโจทย์เร่งด่วนของทุกภาคอุตสาหกรรม ล่าสุดบริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ THIP ได้เดินแนวทางเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่น นั่นคือการเปลี่ยนหลังคาโรงงานให้กลายเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop) ด้วยเป้าหมายไม่เพียงแค่ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า แต่เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สอดรับกับนโยบาย “Carbon Neutral” ของประเทศ
โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ของ THIP เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2563 ด้วยเป้าหมายลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต บริษัทได้ดำเนินการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาโรงงาน โดยเริ่มในเฟสแรกด้วยกำลังผลิต 500 กิโลวัตต์ ก่อนจะขยายอย่างต่อเนื่องในเฟสถัดมาเป็น 2,188 กิโลวัตต์ ซึ่งระบบทั้งหมดได้เริ่มจ่ายไฟใช้งานภายในโรงงานแล้วอย่างเต็มประสิทธิภาพ
จากการติดตั้งระบบโซลาร์ทั้งหมด ส่งผลให้ปัจจุบัน THIP สามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 3,453,952 กิโลวัตต์ต่อปี ช่วยลดค่าไฟฟ้าลงได้ราว 18% ต่อปี และที่สำคัญยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 2,067 ตันต่อปี ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการร่วมลดภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง นอกจากนั้น โครงการยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้กว่า 3.3 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ
การเดินหน้าด้านพลังงานสะอาดของ THIP ไม่ได้หยุดเพียงแค่บนหลังคา แต่ยังมาพร้อมแนวคิด “Smart Factory for Sustainability” โดยมีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ภายในโรงงาน เช่น การนำระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ (AI-based Energy Management) เข้ามาช่วยวิเคราะห์และปรับสมดุลการใช้ไฟฟ้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการนำรถฟอร์คลิฟต์ไฟฟ้ามาใช้แทนเครื่องยนต์เพื่อลดการปล่อยควันและเสียงรบกวน
เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งนี้ มาจากความเข้าใจลึกซึ้งในแนวโน้มโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันนโยบายของหลายประเทศ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป เริ่มใช้กลไกทางภาษีคาร์บอน (CBAM) ซึ่งบังคับให้ผู้ผลิตต้องแสดงปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยในกระบวนการผลิตสินค้า หากไทยไม่ปรับตัว ภาคการส่งออกจะได้รับผลกระทบโดยตรง
ดังนั้น การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดจึงไม่ใช่เพียง “ทางเลือก” แต่คือ “ความจำเป็นเชิงกลยุทธ์” ที่จะทำให้อุตสาหกรรมไทยยังคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
แม้การลงทุนในระบบโซลาร์รูฟท็อปจะมีต้นทุนเริ่มต้นสูง แต่ในระยะยาว THIP มองเห็นความคุ้มค่าในหลายมิติ ทั้งด้านการประหยัดพลังงาน การลดความเสี่ยงจากราคาพลังงานที่ผันผวน และการสร้างภาพลักษณ์องค์กรที่ยั่งยืนในสายตาลูกค้าและนักลงทุน อีกทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่มาตรฐาน ESG ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดและเงินทุนในอนาคต
โครงการนี้ยังเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนว่าภาคเอกชนไทยสามารถเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการลดคาร์บอนในระดับประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม หากมีการขยายผลแนวทางเดียวกันนี้ไปยังโรงงานอื่น ๆ ก็จะเกิด “พลังรวมของอุตสาหกรรมสีเขียว” ที่สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศได้ในระดับมหาศาล
ในอนาคต THIP ตั้งเป้าจะขยายการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปให้ครอบคลุมทุกอาคารในพื้นที่โรงงาน และเสริมด้วยนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาดอื่น ๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย “Carbon Neutral Factory” อย่างแท้จริง เส้นทางนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุน แต่ยังเป็นการสร้างคุณค่าระยะยาวทั้งต่อองค์กรและสิ่งแวดล้อม
ทานตะวันอุตสาหกรรมจึงไม่เพียงเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เติบโตจากนวัตกรรม แต่ยังเป็นองค์กรตัวอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “ธุรกิจที่ยั่งยืน” คือธุรกิจที่มองไกล เห็นคุณค่าของพลังงานสะอาด และพร้อมร่วมสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับโลกใบนี้อย่างแท้จริง


