ชี้! ต้องออกกฎหมาย ป้องกัน 'น้ำมันรั่วกลางทะเล' เหตุเกิดซ้ำซาก
นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมชี้ ปัญหาน้ำมันรั่วกลางทะเลเป็นปัญหาซ้ำซาก! กระทบต่อสิ่งแวดล้อมร้ายแรง จำเป็นต้องออกกฎหมายและมาตรการป้องกันและจัดการความเสี่ยง
วันนี้ (7 มิถุนายน 2568) ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ถึงปัญหาและข้อเสนอแนะจากเหตุการณ์เกิดเหตุคลื่นสูง ลมกระชากแรง กลางทะเลศรีราชา จ.ชลบุรี บริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล SBM-2 ส่งผลให้เกิดคราบน้ำมันสีดำกระจายตัวในรัศมีประมาณ 10 ตารางเมตร ทางทิศใต้ของจุดเกิดเหตุ โดยระบุถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศจากปัญหาน้ำมันรั่วที่เกิดซ้ำซากว่า
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศจากการเกิดน้ำมันรั่วซ้ำซากในพื้นที่เดิม แก้ไขและจัดการอย่างไร?
1. เกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเลหมายเลข 2 (SBM-2) ของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ อ.ศรีรา ชา จ.ชลบุรี เมื่อเวลา 23.54 น. ของวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ประมาณ8000ลิตร
..ก่อนหน้านั้นในปี 2566 ก็เคยเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ก.ย. เวลา 21.00 น. เกิดเหตุน้ำมันดิบชนิด ARUB Light Crude รั่วไหลบริเวณทุ่นรับน้ำมันของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะสีชัง จ.ชลบุรี ประมาณ 50-70ตัน
2. พื้นที่ที่ถูกน้ำมันรั่วซ้ำซากส่วนใหญ่จะพบในพื้นที่ที่มีกิจกรรมการขนถ่ายน้ำมันในทะเล เช่น นิคมมาบตาพุด จังหวัดระยอง บริเวณที่อยู่ใกล้กับท่าเรือของบริษัทไทยออยล์ ใกล้กับเกาะสีชังและอ่าวอุดม ปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงและจุดอ่อนในระบบความปลอดภัยในการขนถ่ายน้ำมัน
3. การรั่วซ้ำซากของน้ำมันมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรง ทั้งต่อระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง
- คราบน้ำมันที่รั่วไหลจะทำให้เกิดการลดลงของออกซิเจนในน้ำส่งผลต่อการสังเคราะห์แสงของพืชทะเลและแพลงก์ตอน สัตว์ทะเล เช่น ปลา, หอย, และปู จะได้รับผลกระทบจากการถูกคราบน้ำมันเคลือบเหงือกหรือการกินสารพิษจากน้ำมัน
- การรั่วซ้ำซากยังส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ, การทำประมง, และเศรษฐกิจท้องถิ่น
- สารพิษตกค้าง น้ำมันดิบที่รั่วไหลประกอบด้วยสารประกอบต่างๆ รวมถึงสารโลหะบางชนิด เช่น ทองแดง ปรอท และกำมะถัน ที่สามารถสะสมอยู่ในร่าง กายของสัตว์น้ำและส่งผลต่อระบบนิ เวศในระยะยาวมีผลต่อห่วงโซ่อาหารส่งผลถึงสุขภาพมนุษย์
- ระบบนิเวศชายฝั่ง สร้างความเสียหายต่อสัตว์หน้าดิน คราบน้ำมันส่งผลต่อสัตว์ที่อาศัยอยู่บนหาดและหน้าดิน เช่น ปู, หอย เป็นต้นรวมทั้งทำให้แนวปะการังเสียหาย
- อุตสาหกรรมประมง คราบน้ำมันทำให้การทำประมงต้องหยุดชะงัก
- อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทัศนียภาพของชายหาดที่ถูกคราบน้ำมันทำให้แหล่งท่องเที่ยวเสื่อมเสีย และส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจในพื้นที่
4. การป้องกันและแก้ไขไม่ให้เกิดน้ำมันรั่วไหล ที่ทุ่นกลางทะเลหรือท่าเรือในทะเลในอนาคต
- ภาครัฐต้องออกกฎหมายป้องกันน้ำมันรั่วไหลทางทะเล โดยให้โครงการท่าเรือที่ขนถ่ายน้ำมันและสารเคมีในทะเลต้องจัดทำประกันภัยด้านสิ่งแวด ล้อมโดยเฉพาะเพื่อจ่ายชดเชยแก่ประชาชนและกลุ่มประมงรวมทั้งผู้ได้รับผล กระทบได้อย่างรวดเร็ว
- ภาครัฐจะต้องตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม โดยทุกโครงการจะต้องนำเงินมาใส่ไว้ในกองทุน เพื่อเป็นหลักประกันความเสี่ยง เมื่อเกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลสามารถนำเงินจากกองทุนประกันความเสี่ยงไปชดเชยเยียวยาหรือฟื้นฟูให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ได้ทันท่วงที ไม่ต้องมารอการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเหมือนในอดีต
- ตรวจสอบว่าโครงการได้ปฏิบัติตามมาตรการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมครบถ้วนหรือไม่ และได้ปฏิบัติตามข้อกฎหมายอื่นๆครบถ้วนหรือไม่
- เนื่องจากเกิดผลกระทบจากน้ำมันรั่วไหลซ้ำซากในพื้นที่ดังกล่าว หน่วยงานราชการจะต้องสำรวจความเสียหายทางระบบนิเวศในทะเล สัตว์ทะเล รวมทั้งการปนเปื้อนสารเคมีในอาหารทะเลด้วยแล้วต้องรีบหามาตรการดูแลและเยียวยาโดยเร็ว


