วิกฤตฝุ่น PM 2.5 ทั่วโลก! WHO แจงมีแค่ 7 ประเทศที่อากาศสะอาดผ่านมาตรฐาน
รายงานล่าสุดจาก IQAir บริษัทเทคโนโลยีคุณภาพอากาศจากสวิตเซอร์แลนด์ เผย ทั่วโลกมีเพียง 7 ประเทศเท่านั้นที่คุณภาพอากาศสะอาดเป็นไปตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO)
"มลพิษทางอากาศเป็นภัยเงียบคร่าชีวิตผู้คน ผลกระทบที่แท้จริงอาจไม่ปรากฏทันที แต่ต้องใช้เวลา 20-30 ปี กว่าจะเห็นผลร้ายต่อสุขภาพ นี่คือเหตุผลที่ทำให้หลายประเทศละเลยปัญหานี้จนกระทั่งสายเกินแก้" - Frank Hammes ซีอีโอ IQAir
รายงานล่าสุดจาก IQAir บริษัทเทคโนโลยีคุณภาพอากาศจากสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยสถานการณ์น่าตกใจ โดยระบุว่า
ทั่วโลกมีเพียง 7 ประเทศเท่านั้นที่คุณภาพอากาศสะอาดเป็นไปตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO)
ประเทศที่คุณภาพอากาศสะอาดเป็นไปตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เอสโตเนีย กรีนแลนด์ และกลุ่มประเทศหมู่เกาะขนาดเล็ก
ซึ่งมีค่าเฉลี่ย PM2.5 ไม่เกิน 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรตามที่ WHO แนะนำ
ในทางตรงกันข้าม ประเทศที่ประสบปัญหามลพิษทางอากาศหนักที่สุด 5 อันดับแรก คือ ชาด บังกลาเทศ ปากีสถาน สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และอินเดีย
โดยมีระดับ PM2.5 สูงกว่าเกณฑ์ WHO อย่างน้อย 10 เท่า (ชาดสถานการณ์เลวร้ายที่สุด PM 2.5 สูงเกินมาตรฐานถึง 18 เท่า)
วงการแพทย์ย้ำอยู่เสมอว่า PM2.5 มีอนุภาคเล็กมากจนสามารถเล็ดลอดเข้าสู่กระแสเลือดและก่อให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะสำคัญทั่วร่างกาย
นอกจากนี้ มีการประเมินว่าหากทั่วโลกสามารถปฏิบัติตามแนวทางของ WHO จะสามารถช่วยชีวิตประชากรได้นับล้านคนต่อปี
ปัจจุบัน มลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตอันดับสองของโลก รองจากความดันโลหิตสูงเท่านั้น
แสงสว่างปลายอุโมงค์
ท่ามกลางภาพรวมที่น่าวิตก รายงานฉบับนี้ยังมีข่าวดีบ้างเล็กน้อย สัดส่วนเมืองทั่วโลกที่มีคุณภาพอากาศได้มาตรฐาน PM2.5 เพิ่มขึ้นจาก 9% ในปี 2023 เป็น 17% ในปี 2024
อินเดีย ซึ่งมีเมืองที่ครองแชมป์อากาศแย่ที่สุดในโลกถึง 6 ใน 10 อันดับแรก กลับพบว่ามลพิษทางอากาศลดลง 7% ในช่วงปี 2023-2024
เช่นเดียวกับจีน ที่คุณภาพอากาศดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปริมาณ PM2.5 ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งระหว่างปี 2013 ถึง 2020
ปัจจุบัน คุณภาพอากาศในกรุงปักกิ่งใกล้เคียงกับกรุงซาราเยโว เมืองหลวงของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ซึ่งครองตำแหน่งเมืองมลพิษสูงสุดในยุโรปเป็นปีที่สองติดต่อกัน
ความเหลื่อมล้ำด้านอากาศสะอาด
รายงานฉบับนี้รวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์จากสถานีตรวจวัดภาคพื้นดินทั่วโลก โดยประมาณหนึ่งในสามดำเนินการโดยหน่วยงานรัฐบาล
และสองในสามโดยองค์กรไม่แสวงผลกำไร สถาบันการศึกษา และภาคประชาชน
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลในทวีปแอฟริกาและเอเชียตะวันตกยังมีข้อจำกัด ทำให้หลายประเทศไม่ถูกนำมาวิเคราะห์ในการศึกษาครั้งนี้
น่าเศร้า ประเทศยากจนที่มักเผชิญปัญหามลพิษทางอากาศหนักกว่า กลับขาดแคลนสถานีตรวจวัดที่เพียงพอต่อการแจ้งเตือนประชาชนหรือผลักดันนโยบายการแก้ไขปัญหา
"แทบทุกคนบนโลกกำลังหายใจรับอากาศที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สิ่งที่รายงานนี้ตอกย้ำชัดเจนคือ ความเหลื่อมล้ำอย่างมหาศาลในการรับมลพิษทางอากาศระหว่างประชากรโลก"
ศาสตราจารย์ Roel Vermeulen นักระบาดวิทยาด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัย Utrecht กล่าวทิ้งท้าย


