สตง. แนะแก้สัญญา ไฮสปีด 3 สนามบิน หลังล่าช้า 2 ปี 8 เดือน ประเทศชาติเสียประโยชน์
มหากาพย์รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก แต่กลับช้ากว่ากำหนดนาน 2 ปี 8 เดือน สำนักงานตรวจเงินแผนดิน แนะแก้ไขสัญญายึดหลักการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชนที่เป็นธรรม เพื่อความสำเร็จของโครงการ
KEY
POINTS
- สตง. ตรวจพบโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ล่าช้ากว่าแผน 2 ปี 8 เดือน เนื่องจากปัญหาการส่งมอบพื้นที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ในหลายจุด และเอกชนคู่สัญญาประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน
- แนวทางแก้ไขปัญหาคือการปรับวิธีการชำระเงินใหม่ โดยให้รัฐจ่ายเงินร่วมลงทุนเร็วขึ้น และปรับการชำระค่าให้สิทธิร่วมลงทุนในแอร์พอร์ต เรลลิงก์จากชำระครั้งเดียวเป็น 7 งวด
- สตง. เสนอแนะให้การแก้ไขสัญญาต้องยึดหลักความเป็นธรรมระหว่างรัฐและเอกชน คำนึงถึงประโยชน์สาธารณะ และต้องมีระบบตรวจสอบที่รัดกุมเพื่อป้องกันการทุจริต เนื่องจากความล่าช้าส่งผลกระทบต่อประชาชนและรัฐในวงกว้าง
จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (โครงการฯ) ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public Private Partnership: PPP) เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) เชื่อมต่อ 3 สนามบิน ในเขตกรุงเทพมหานคร และ EEC ได้แก่
- สนามบินดอนเมือง
- สนามบินสุวรรณภูมิ
- สนามบินอู่ตะเภา
โดยมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมกันแบบไร้รอยต่อ รวมถึงพัฒนาพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟของโครงการฯ (Transit Oriented Development: TOD) ซึ่งประกอบด้วย พื้นที่มักกะสันและศรีราชา มูลค่าการลงทุน 224,544.36 ล้านบาท กรอบวงเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชนไม่เกิน 149,650.00 ล้านบาท
และทาง รฟท. ได้ลงนามในสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนคู่สัญญา เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 ซึ่งโครงการดังกล่าวกำหนด 3 เงื่อนไขที่ต้องดำเนินการให้ครบถ้วน รฟท. จึงจะสามารถออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed: NTP) ได้ ประกอบด้วย
(1) การส่งมอบพื้นที่ของโครงการเกี่ยวกับรถไฟให้แก่เอกชนคู่สัญญา ได้แก่ พื้นที่โครงการเกี่ยวกับรถไฟ ช่วงสุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา (นอกเมือง)
(2) การส่งมอบพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟของโครงการฯ ได้แก่ พื้นที่มักกะสันและศรีราชา
(3) การที่เอกชนคู่สัญญาได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนสำหรับโครงการเกี่ยวกับรถไฟ
จนถึงปัจจุบันปี 2568 ยังไม่มีการลงแม้แต่เสาตอม่อเพื่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ประเด็นนี้ ทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ที่เข้ามาตรวจสอบพบว่าโครงการดังกล่าว ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ตามสัญญาร่วมลงทุนเป็นระยะเวลา 2 ปี 8 เดือน (วันที่ 24 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2567) ทั้งในส่วนของการส่งมอบพื้นที่โครงการเกี่ยวกับรถไฟ ช่วงสุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา (นอกเมือง) และการส่งมอบพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟของโครงการฯ (พื้นที่มักกะสันและศรีราชา) ซึ่งกำหนดส่งมอบภายใน 2 ปี นับจากวันที่มีการลงนามในสัญญาร่วมลงทุน (ภายในวันที่ 24 ตุลาคม 2564)
ด้านนายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน โฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เผยว่าเรื่องนี้อยากให้ ทุกฝ่ายยึดหลักการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชนที่เป็นธรรม เพื่อความสำเร็จของโครงการ เพราะที่ผ่านมาเสียเวลาไปมากกับการรอก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง นอกจากประชาชนจะเสียโอกาส รัฐเสียหายแล้ว การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก็เสียหาย และกระทบโครงการรถไฟไทย-จีน
โพสต์ทูเดย์ พาย้อนไปดูสาเหตุของความล่าช้าของโครงการดังกล่าว พร้อมชำแหละออกมาดังนี้
เปิดสาเหตุของความล่าช้า
การส่งมอบพื้นที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่สำคัญ:
- พื้นที่มักกะสันมีปัญหาเรื่องลำรางสาธารณประโยชน์และบึงเสือดำ
- พื้นที่แอร์พอร์ต เรลลิงก์ล่าช้าเพราะผลกระทบจากโควิด-19
- ปัญหาการเวนคืนที่ดินบริเวณหมู่บ้านประชาสุข 6
- การเปลี่ยนแปลงแผนแม่บทของสนามบินอู่ตะเภา
ปัญหาด้านการเงิน
- เอกชนคู่สัญญายังไม่ชำระค่าให้สิทธิร่วมลงทุนในแอร์พอร์ต เรลลิงก์
- ประสบปัญหาสภาพคล่องและการจัดหาแหล่งเงินทุน
- ยังไม่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนเนื่องจากข้อมูลบางส่วนไม่ชัดเจน
สำหรับแนวทางแก้ไขแบ่งออกเป็น
- ปรับวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน โดยรัฐต้องจ่ายเร็วขึ้นจากเดิม
- ปรับการชำระค่าให้สิทธิร่วมลงทุนในแอร์พอร์ต เรลลิงก์ จากชำระครั้งเดียวเป็น 7 งวด
- พิจารณาเพิ่มส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทนในอนาคตหากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง
ด้าน สตง. มีข้อเสนอแนะคือ
- การแก้ไขสัญญาต้องยึดหลักความเป็นธรรมระหว่างรัฐและเอกชน
- ต้องคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ
- การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระเงินต้องไม่ทำให้รัฐเสียประโยชน์
- ควรมีระบบตรวจสอบที่รัดกุมเพื่อป้องกันการทุจริตและการตกแต่งบัญชี
ส่วนผลกระทบจากความล่าช้า
- ประชาชนเสียโอกาสในการใช้บริการรถไฟความเร็วสูง
- การรถไฟแห่งประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการได้รับผลประโยชน์ตอบแทน
- อาจต้องชดเชยความเสียหายให้กับโครงการที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน
ทั้งนี้การแก้ไขสัญญาเพื่อกำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม หากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงจนเอกชนได้รับผลตอบแทนเกิน 5.52% รฟท. มีสิทธิเรียกเก็บส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นตามที่ตกลงกัน อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลว่าอาจเป็นประโยชน์ต่อรัฐเพียงในทางทฤษฎี เนื่องจากการคาดการณ์ตัวเลขทำได้ยาก และอาจเปิดช่องให้มีการตกแต่งบัญชีหรือเจรจาลดส่วนแบ่งของรัฐได้ง่าย
สตง. เห็นว่าหากมีระบบบริหารจัดการที่ป้องกันการทุจริต เช่น การตรวจสอบงบการเงินโดยผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยลดความเสี่ยงได้ นอกจากนี้ การแก้ไขสัญญาต้องพิจารณาตามเหตุผลที่เหมาะสม และยังคงหลักการของการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน


