Google และศูนย์ข้อมูลแห่งแรกของโลกที่ใช้พลังงานไฟฟ้า “ความร้อนใต้พิภพ”
โครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพแห่งแรกของ Google เริ่มขึ้นกลางทะเลทรายในเนวาดา สหรัฐอเมริกา ซึ่งจะช่วยจ่าย “พลังงานสะอาด” ให้กับศูนย์ข้อมูลของ Google แบบ 24 ชั่วโมงในอนาคต
ที่มาของ“Green Internet” แบบ Google
เกิดจากการที่ Google ต้องรับมือกับความท้าทายที่บริษัทเทคโนโลยีในโลกทุกแห่งต้องเผชิญคือเรื่องของ "พลังงาน" แน่นอนว่ามันคือความพยายามในการลดผลพวงจาก "ศูนย์ข้อมูล" หรือ Data Center ที่ใช้พลังงานสูงสุดๆ (ระดับกูเกิล) ปัจจุบันกูเกิลใช้พลังงานจากลมและแสงอาทิตย์ในการให้พลังงานแก่การประมวลผลแบบคลาวด์จำนวนมหาศาลซึ่งอยู่เบื้องหลังบริการอินเทอร์เน็ตและแอปต่างๆ แต่เนื่องจากลมและแสงแดดไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา การไหลเวียนของพลังงานจึงไม่เสถียร และแม้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Google ได้ซื้อพลังงานหมุนเวียนเพียงพอต่อการใช้พลังงานประจำปีของการดำเนินงานด้านข้อมูล แต่ก็อาจไม่ใช่ทั้งหมดที่มาจากแหล่งพลังงานสะอาด
งานนี้ Google ร่วมมือกับสตาร์ทอัพ Fervo ซึ่งได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในการควบคุมพลังงานความร้อนใต้พิภพและยังมีความแตกต่างจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพแบบเดิม แม้จะยังเป็นโครงการที่มีขนาดค่อนข้างเล็กและมีกำลังการผลิตเพียง 3.5 เมกะวัตต์ ความจริงคือพลังงาน 1 เมกะวัตต์เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการใช้พลังงานของครัวเรือนประมาณ 750 หลัง หมายความว่า พลังงาน 3.5 เมกะวัตต์เพียงพอที่จะจ่ายให้กับบ้านเรือนประมาณ 2,600 ครอบครัว! คิดกันดูว่า Data Center ใช้พลังงานมหาศาลขนาดไหน
โครงการนี้จะจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่โครงข่ายท้องถิ่นซึ่งให้บริการศูนย์ข้อมูลของ Google สองแห่งนอกลาสเวกัสและรีโน ตามแผนของ Google ที่จะใช้ไฟฟ้าปราศจากมลภาวะจากคาร์บอนให้ได้แบบ full time หรือ 24 ชั่วโมง ภายในปี 2030 และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว จะต้องได้รับแหล่งพลังงานสะอาดทางออนไลน์มากขึ้น และ Google มองว่า “ความร้อนใต้พิภพ” จะเป็นแหล่งพลังงานสำคัญในการผสมผสานกับไฟฟ้าในอนาคตซึ่งสามารถมาช่วยเติมเต็มให้กับพลังลมและพลังงานแสงอาทิตย์ได้
“หากคุณคิดว่า เราพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และลิเธียมไอออนมากเพียงใด เราก็มาถึงจุดนี้แล้ว นี่คือกลุ่มผลิตภัณฑ์ถัดไป และเรารู้สึกว่าบริษัทต่างๆ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ก้าวหน้า” Michael Terrell ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพลังงานและสภาพอากาศของ Google กล่าว
โครงการนี้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2021 เมื่อ Google ประกาศ "ข้อตกลงองค์กรฉบับแรกของโลกในการพัฒนาโครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพยุคต่อไป"
เรารู้กันว่า พลังงานความร้อนใต้พิภพมาจากความร้อนจากภายในโลก แต่ความพยายามของโครงการนี้ไม่ใช่แค่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพธรรมดา ซึ่งตามปกติจะดึงของเหลวร้อนจากแหล่งกักเก็บธรรมชาติในการผลิตไอน้ำไปหมุนกังหัน
โปรเจ็กต์ใหม่นี้มีชื่อว่า Project Red ถูกสร้างขึ้นในบริเวณที่ Terrell กล่าวว่าในพื้นที่นั้น “มีแต่หินร้อน แต่ไม่มีของเหลว"
เพื่อสร้างพลังงานความร้อนใต้พิภพ จาก ”หินร้อน“ Fervo ต้องเจาะบ่อน้ำลึกลงไปใต้ดินมากกว่า 7,000 ฟุต 2 บ่อ ก่อนส่งแรงอัดน้ำผ่านรอยแตกในร่องหินลงไปข้างล่างที่มีหินร้อนอยู่ เมื่อน้ำกระทบหินร้อนก็ทำให้เกิดเป็นไอน้ำตีกลับขึ้นมาที่พื้นผิวโลกในปริมาณมหาศาล และด้วยความที่เป็นระบบวงจรปิด น้ำจึงถูกนำมาใช้วนซ้ำได้อีก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในภูมิภาคที่เสี่ยงต่อภัยแล้ง เช่น เนวาดา ที่มีภูมิประเทศเป็นทะเลทราย
ยิ่งกว่านั้น Fervo ยังติดตั้งสายเคเบิลใยแก้วนำแสงภายในทั้งสองหลุมเพื่อรวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับการไหล อุณหภูมิ และประสิทธิภาพของระบบความร้อนใต้พิภพ
และนอกเหนือจากข้อตกลงนี้กับ Google แล้ว Fervo ยังได้รับการสนับสนุนจากบริษัทการลงทุนด้านสภาพภูมิอากาศของ Bill Gates คือ Breakthrough Energy Ventures และกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา
สิ่งที่ทำให้โครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพแตกต่างจากฟาร์มลมและโซลาร์ฟาร์มที่ไวต่อสภาพอากาศและเวลา ก็คือความร้อนใต้พิภพสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างสม่ำเสมอมากกว่า นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไม Google จึงพยายามนำโครงการประเภทนี้ผ่านทางออนไลน์มากขึ้น
“หินร้อน” ใต้โลกนั้นมีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง โดยให้อุณหภูมิสูงถึงหลายร้อยองาภายในระยะไม่กี่กิโลเมตรลงไปใต้พื้นผิวโลก แต่โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพยังให้พลังงานไฟฟ้าในสัดส่วนเพียงเล็กน้อยในโลกในปัจจุบัน


