posttoday

เซ็นทาราทุ่ม 2 หมื่นล้านเปิดโรงแรมทั่วโลก ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2593

14 มีนาคม 2567

เซ็นทาราเดินหน้า เร่งขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ทั่วโลก ทุ่มทุ่น 3 ปีเกือบ 2 หมื่นล้าน ตั้งเป้ารายคาดว่าจะอยู่ที่ 29,000 ล้านบาท มุ่งสู่การเป็น 1 ใน 100 แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับสากล พร้อมเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2593

KEY

POINTS

  • เซ็นทาราเผยแผนปรับโฉมโรงแรมแฟลกชิป, กลยุทธ์รีแบรนด์โรงแรม 
  • โปรเจกต์ใหญ่ที่เกาะมัลดีฟส์พร้อมเดินหน้าพัฒนาศักยภาพโรงแรมเต็มกำลัง 
  • รวมในปีนี้ตั้งเป้าคาดว่าจะอยู่ที่ 29,000 ล้านบาท
     

นายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า ปี พ.ศ. 2566 นับเป็นปีแห่งความภาคภูมิใจที่เซ็นทาราเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปี ในไทย และเป็นปีที่ เซ็นทาราประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นกับหลากหลายโปรเจกต์สำคัญ อาทิ การเปิดให้บริการ “เซ็นทารา แกรนด์ โอซาก้า” ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกของเซ็นทาราในญี่ปุ่น, การได้รับรางวัลสุดยอดนายจ้างดีเด่นแห่งประเทศไทย ประจำปี 2023 จากงาน Kincentric Best Employers Thailand 2023 และความสำเร็จของ   แบรนด์ “เซ็นทารา แกรนด์” ที่คว้าตำแหน่งแบรนด์ที่แข็งแกร่งสุดในไทย จากรายงาน 50 อันดับบริษัทประจำปี 2023 โดยสถาบัน Brand Finance 

ในปีที่ผ่านมา เซ็นทาราบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง โดยเซ็นทารามีรายได้รวมอยู่ที่ 9,932 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงิน (EBITDA) จำนวน 3,284 ล้านบาท เติบโต 83% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้ มีรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ยของทั้งหมด (RevPar) เพิ่มขึ้น 19% อยู่ที่ 4,141 บาท ซึ่งสำหรับแนวโน้มธุรกิจในปี 2567 นี้ เซ็นทาราคาดการณ์ว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (รวมโรงแรมร่วมทุน) จะอยู่ที่ 70% - 73% และมีรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPAR) จะอยู่สูงสุดที่ 4,300 บาท
นายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา

เปิดแผนขยายโรงแรมปี 2567 

สำหรับแผนการขยายโรงแรมในปี พ.ศ. 2567 นี้ และในช่วง 3 ปีนี้(ปี 2567- 2569) ของเซ็นทารา วางงบลงทุนอยู่ที่ 13,000-20,000 ล้านบาท(ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหาร)  เซ็นทาราเดินหน้าตอกย้ำความเป็นเครือโรงแรมชั้นนำ ด้วยการเตรียมเปิดให้บริการโรงแรมทั้งในและต่างประเทศเพิ่มทั้งหมด 6 แห่ง แบ่งออกเป็น

เซ็นทารา ไลฟ์ ละไม รีสอร์ท สมุย

3 แห่งในไทย
- เซ็นทารา ไลฟ์ ละไม รีสอร์ท สมุย 
- เซ็นทารา วิลลา เกาะพีพี
- เซ็นทารา ไลฟ์ สุราษฎร์ธานี

2 แห่งในสปป.ลาว 
 - โคซี่ เวียงจันทน์ น้ำพุ
- เซ็นทารา พลูมเมอเรีย รีสอร์ท   ปากเซ 

1 แห่งในมัลดีฟส์ 
-เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ 

โดยทั้งหมดเป็นการรับบริหารยกเว้นโรงแรมที่มัลดีฟส์ที่เซ็นทาราลงทุนเองโดยขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงแรมในมัลดีฟส์เพิ่มอีก 2 โรงแรม ซึ่ง “โรงแรมเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์” ที่มีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายนปี 2567 นี้ 

สำหรับ “โรงแรมเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์” คือ โปรเจ็คสำคัญที่สุดแห่งปี มีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายนปี พ.ศ. 2567 เป็นโครงการส่วนแรกของเซ็นทาราบนเกาะสวรรค์ในมาเล่ อะทอลล์เหนือ หนึ่งในเกาะในกลุ่มมัลดีฟส์ที่มีความสวยงามอย่างเหนือชั้น โดยจะสามารถเดินทางเข้าถึงได้โดยง่ายด้วยสปีดโบ๊ทเพียง 30 นาที จากท่าอากาศยานนานาชาติเวลานา หรือที่มักเรียกว่า ท่าอากาศยานนานาชาติมาเล่ 

เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ นับเป็นโรงแรมภายใต้ธีมมิราจ แห่งที่ 4 ของโลก ต่อจากที่พัทยา มุยเน่ และดูไบ โดยโรงแรมแห่งนี้ เป็นแบรนด์ธีมรีสอร์ทสำหรับครอบครัว ออกแบบมาให้โดดเด่นด้วยคอนเซ็ปต์โลกใต้น้ำ มีสวนน้ำและกิจกรรมทางน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้ากลุ่มครอบครัว 
เซ็นทาราทุ่ม 2 หมื่นล้านเปิดโรงแรมทั่วโลก ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2593

ส่วนโปรเจคต์ต่อไปในไตรมาสที่ 1 ของปี พ.ศ. 2568 เซ็นทารามีแผนจะเปิดให้บริการ “โรงแรมเซ็นทารา   แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์” รีสอร์ทหรูขนาด 142 ห้องพักเป็นลำดับถัดไป นั่นจะทำให้นักเดินทางที่มาเยี่ยมเยือนเกาะในฝันแห่งนี้สามารถเพลิดเพลินไปกับตัวเลือกที่พัก 2 แบบ 2 สไตล์ในเครือเซ็นทารา เพื่อการพักผ่อนที่น่าประทับใจได้ 

นอกจากนั้น ยังมีอีกสองโรงแรมแฟลกชิปที่เซ็นทาราตั้งใจจะปรับโฉมครั้งใหญ่ในปีนี้ คือ เซ็นทารา กะรน   รีสอร์ท ภูเก็ต (จำนวน 335 ห้องพัก) และเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา (จำนวน 553 ห้องพัก) และสำหรับการรีแบรนด์ เซ็นทาราได้ประกาศรีแบรนด์ “เซ็นทรา บาย เซ็นทารา” ให้เป็น “เซ็นทารา ไลฟ์” ในช่วงปลายปีที่แล้ว และมีแผนจะรีแบรนด์ “เซ็นทารา บูติก คอลเลกชัน” ต่อเนื่องในปีนี้เช่นกัน โดย  เซ็นทารามีแผนจะขยายแบรนด์ในเครือทั้ง 6 แบรนด์ ออกสู่หลากหลายจุดหมายปลายทางทั้งในและต่างประเทศ อาทิ แผนขยายแบรนด์เซ็นทารา รีเซิร์ฟ และโรงแรมในธีมมิราจไปในไทย, มัลดีฟส์, ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย รวมถึงแผนการเซ็นสัญญาขยายเครือข่ายพันธมิตรในตลาดสำคัญๆ อย่างจีนด้วยเช่นกัน

สำหรับปี 2568 เซ็นทารายังมีแผนจะรีโนเวทโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ หัวหิน บีช รีสอร์ท หลังจากได้ดำเนินการต่อสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แล้ว โดยมีแผนจะใช้งบลงทุนราว 1,700 -2,000 ล้านบาท เริ่มดำเนินการในปี 2568 ใช้เวลา 2-3 ปี ซึ่งจะปรับปรุงห้องพักใหม่ และศึกษาที่จะสร้างโรงแรมระดับ 3 ดาวในพื้นที่ดังกล่าว 

รวมไปถึงการรีแบรนด์  “เซ็นทรา บาย เซ็นทารา” ให้เป็น “เซ็นทารา ไลฟ์” ที่ทยอยดำเนินการตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และมีแผนจะรีแบรนด์ “เซ็นทารา บูติก คอลเลกชัน” ต่อเนื่องในปีนี้เช่นกัน 

นอกจากนี้เซ็นทารามีแผนจะขยายแบรนด์ในเครือทั้ง 6 แบรนด์ ออกสู่หลากหลายจุดหมายปลายทางทั้งในและต่างประเทศ อาทิ แผนขยายแบรนด์เซ็นทารา รีเซิร์ฟ และโรงแรมในธีมมิราจไปในไทย, มัลดีฟส์, ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย รวมถึงแผนการเซ็นสัญญาขยายเครือข่ายพันธมิตรในตลาดสำคัญๆ อย่างจีนด้วยเช่นกัน

ทิศทางการขยายแบรนด์โรงแรมของเซ็นทารา จะมุ่งไปที่การรับบริหารเพิ่มมากขึ้น อาทิ ที่เวียดนาม ได้เซ็นสัญญารับบริหารโรงแรมไปแล้ว 9 แห่งรวมห้องพักกว่า 4,900 ห้อง เปิดให้บริการแล้ว 1 แห่งขนาด 984 ห้อง ทั้งยังมองการรับบริหารโรงแรมในยุโรป แอฟริกา จีน ศรีลังกา 

ขณะเดียวกันก็ยังมองหาโอกาสในการลงทุนโรงแรมของเซ็นทาราด้วย โดยขณะนี้ได้หารือกับพาร์ทเนอร์ที่ร่วมลงทุนโรงแรมเซ็นทารา มิราจ บีช ดูไบ ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการอยู่แล้ว 607 ห้อง มีแผนจะขยายห้องพักเพิ่มอีก 200 ห้อง ซึ่งในขณะนี้บอร์ดได้อนุมัติในการซื้อที่ดินเพิ่มเติมแล้ว

เซ็นทาราทุ่ม 2 หมื่นล้านเปิดโรงแรมทั่วโลก ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2593
"เซ็นทารา"ตั้งเป้าปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2593 

เซ็นทารายังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2593 ภายใต้แผนการดำเนินงานระยะแรกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20 ภายในปี พ.ศ. 2572 เทียบจากฐานปี พ.ศ. 2562 

โดยได้มุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวอย่างจริงจัง ผ่านแผนการดำเนินงานต่างๆ  อีกทั้งการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ทั้งนี้ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราได้ผ่านการรับรองการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จากสภาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก Global Sustainable Tourism Council – GSTC จำนวน 24 แห่ง และผ่านการรับรองจาก Green Key จำนวน 1 แห่ง ซึ่งเป็นมาตรฐานความยั่งยืนด้านการท่องเที่ยวที่ผ่านการรับรองสถานะ GSTC-Recognized เช่นกัน

“เรารู้สึกภาคภูมิใจกับเส้นทางความสำเร็จในการเดินหน้า เพื่อก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 100 แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกภายใน พ.ศ. 2570 ตามที่เราเคยได้ตั้งเป้าไว้ ซึ่งในปีที่แล้ว เราได้ก้าวจากอันดับที่ 150 มาอยู่ที่อันดับที่ 111 ซึ่งต้องถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่เราสามารถเดินหน้าสู่ความสำเร็จได้ตามแผนและตรงตามกลยุทธ์ที่เราได้ตั้งไว้เร็วกว่าที่คาดการณ์” ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าว “ในปี พ.ศ. 2567 นี้ เราพร้อมเดินหน้าในอีกหลายโปรเจกต์สำคัญ เพื่อเติบโตธุรกิจ เซ็นทาราให้แข็งแกร่งในตลาดโลก”

นายกันย์  ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงินโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา

ด้านนายกันย์  ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงินโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวถึงรายละเอียดของแผนลงทุนในช่วง 3 ปีนี้(ปี 2567- 2569) ของเซ็นทารา อยู่ที่ 13,000-20,000 ล้านบาท(ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหาร) ดังนี้

การลงทุนในปี 2567 จะอยู่ที่ 6,670 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในส่วนของโรงแรม 5,670 ล้านบาท ธุรกิจอาหาร 1,000-1,200 ล้านบาท หลักๆจะเป็นการลงทุนโรงแรม 2 แห่ง ที่มัลดีฟส์ 3,200 ล้านบาท การรีโนเวทเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา 1,020 ล้านบาท รีโนเวทโรงแรมเซ็นทารา กะรน รีสอร์ท ภูเก็ต 600 ล้านบาท ค่าเช่าโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ หัวหิน 150 ล้านบาทให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)

การลงทุนปี 2568 อยู่ที่ 3,630 ล้านบาท อาทิ การลงทุนโรงแรมที่มัลดีฟส์ 1,370 ล้านบาท รีโนเวทเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา 50 ล้านบาท โนเวทโรงแรมเซ็นทารา กะรน รีสอร์ท ภูเก็ต 30 ล้านบาท รีโนเวทโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ หัวหิน 550 ล้านบาท และการลงทุนปี 2569 อยู่ที่ 500 ล้านบาท เป็นต้น

โดยการลงทุนหลักในโครงการเหล่านี้จะอยู่ 13,000 ล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในส่วนของโรงแรม ขณะที่การลงทุนในธุรกิจอาหารจะอยู่ที่เฉลี่ยปีละประมาณ 1,000 ล้านบาท)

ส่วนงบลงทุนอีกราว 7,000 ล้านบาท จะเป็นแผนการลงทุนในโครงการใหม่ๆที่เรากำลังพิจารณาอยู่ โดยมองว่าพื้นที่มัลดีฟส์สามารถสร้างได้ถึง 5 โรงแรม ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 2 แห่ง อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 2 แห่ง จึงมองว่าอาจจะสร้างโรงแรมเพิ่มได้อีกในพื้นที่บริเวณลากูน รวมถึงการร่วมลงทุนกับพาร์ทเนอร์ที่ดูไบ ในการขยายห้องพักเพิ่มอีก 200 ห้อง 

สำหรับรายได้รวมในปีนี้ตั้งเป้าคาดว่าจะอยู่ที่ 29,000 ล้านบาท (รายได้จากโรงแรมและธุรกิจอาหาร)เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 22,547 ล้านบาท เป็นรายได้จากธุรกิจโรงแรม 9,932 ล้านบาท สำหรับแนวโน้มธุรกิจโรงแรมในช่วงไตรมาส 1ปีนี้ มีทิศทางบวก ซึ่งหากเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว รายได้เพิ่มขึ้นกว่า 15 % 

เซ็นทาราทุ่ม 2 หมื่นล้านเปิดโรงแรมทั่วโลก ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2593