posttoday

แบตเตอรี่ Game changer ของพลังงานสะอาด...ไทยจะได้ประโยชน์อย่างไร?

04 มกราคม 2567

อีกสิ่งที่ตามมาพร้อมการใช้งานรถยนต์ EV คือแบตเตอรี่ การต่อสู้ทางการตลาดของแบตเตอรี่มีแต่เพิ่มขึ้น หลายค่ายเพิ่มประสิทธิภาพและลดราคาให้จับต้องได้ ควบคู่ไปกับความยั่งยืนในการลดคาร์บอนเพื่อสิ่งแวดล้อม

อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ทั่วโลกยังมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง โดยภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการผลักดัน

หลายประเทศมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ โดยมีนโยบายที่คล้ายคลึงกัน 3 ประการ คือ 1. นโยบายผลักดันให้เกิดความต้องการใหม่ (New demand-driven) 2. นโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมและการใช้งานผ่านกฎหมายและข้อบังคับ (Regulation-driven) และ 3. การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีจากงบประมาณนโยบาย (Technical-driven) 

SCB EIC ประเมินว่าความต้องการแบตเตอรี่ของไทยจะมีไม่น้อยกว่า 36 GWh ภายในปี 2030 จากการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าและการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน

จากนโยบาย 30@30 และ จากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าแห่งชาติ (PDP 2018 Rev.1) ที่มีแผนการนำแบตเตอรี่ (BESS) มาใช้ ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่าความต้องการขั้นต่ำของแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าตามนโยบาย 30@30ของไทย รวมกันอาจมีไม่น้อยกว่า 34GWh ในปี 2030 และสำหรับภาคการผลิตไฟฟ้าจาก Solar+BESS ไม่น้อยกว่า 2.76 GWh ในปี 2030 คิดเป็นมูลค่าตลาดในปี 2030 ไม่น้อยกว่า 3,051 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
 

การแข่งขันด้านเทคโนโลยี และต้นทุนที่ชะลอลงจะส่งผลให้ราคาแบตเตอรี่ลดลงต่อเนื่อง
ต้นทุนจากสินแร่สำคัญอย่างลิเธียมและองค์ประกอบอื่น ๆ ของแบตเตอรี่มีแนวโน้มลดลงเข้าสู่กรอบเดิมตามสภาวะปกติจากสภาวะตลาดที่เริ่มคลายตัวและอุปทานส่วนเกิน ผนวกกับการพัฒนาแบตเตอรี่ให้มี Energy density (Wh/Kg) สูงขึ้น และต้นทุนการดำเนินการ (Opex) ที่ลดลง ส่งผลให้ราคาแบตเตอรี่มีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้คาดว่าราคาแบตเตอรี่จะลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2024 จะลดลงราว 21% มาอยู่ที่ 121ดอลลาร์สหรัฐ/kWh และคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องโดยเฉลี่ยที่ราว 12% ต่อปี ในช่วง 2024-2027 มาอยู่ที่ 83 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh 

ราคาแบตเตอรี่ที่ลดลงในอนาคตจะยิ่งหนุนความต้องการไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้การลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจาก Solar + BESS มีความน่าสนใจมากขึ้น โดย SCB EIC ประเมิน IRR ที่ 11-15% 

SCB EIC ได้ทำการประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้า (Utility scale) สำหรับผลิตไฟฟ้าจาก Solar + BESS ตาม PDP 2018 Rev.1ของประเทศไทย ทั้งนี้ หากเริ่มดำเนินโครงการในปี 2024 โดยลงทุนในปี 2022-2023 จะมี IRR ที่ 11-15% ที่ D/E: 2.55 อีกทั้ง IRR มีแนวโน้มดีขึ้นสอดคล้องกับต้นทุน Solar PV และราคาแบตเตอรี่ที่ลดลง 

อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ทั่วโลกยังมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง โดยภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการผลักดัน


หลายประเทศมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ โดยมีนโยบายที่คล้ายคลึงกัน 3 ประการ คือ 1. นโยบายผลักดันให้เกิดความต้องการใหม่ (New demand-driven) 2. นโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมและการใช้งานผ่านกฎหมายและข้อบังคับ (Regulation-driven) และ 3. การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีจากงบประมาณนโยบาย (Technical-driven) 
แบตเตอรี่ Game changer ของพลังงานสะอาด...ไทยจะได้ประโยชน์อย่างไร?

SCB EIC ประเมินว่าความต้องการแบตเตอรี่ของไทยจะมีไม่น้อยกว่า 36 GWh ภายในปี 2030 จากการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าและการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน
จากนโยบาย 30@30 และ จากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าแห่งชาติ (PDP 2018 Rev.1) ที่มีแผนการนำแบตเตอรี่ (BESS) มาใช้ ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่าความต้องการขั้นต่ำของแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าตามนโยบาย 30@30ของไทย รวมกันอาจมีไม่น้อยกว่า 34GWh ในปี 2030 และสำหรับภาคการผลิตไฟฟ้าจาก Solar+BESS ไม่น้อยกว่า 2.76 GWh ในปี 2030 คิดเป็นมูลค่าตลาดในปี 2030 ไม่น้อยกว่า 3,051 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การแข่งขันด้านเทคโนโลยี และต้นทุนที่ชะลอลงจะส่งผลให้ราคาแบตเตอรี่ลดลงต่อเนื่อง
ต้นทุนจากสินแร่สำคัญอย่างลิเธียมและองค์ประกอบอื่น ๆ ของแบตเตอรี่มีแนวโน้มลดลงเข้าสู่กรอบเดิมตามสภาวะปกติจากสภาวะตลาดที่เริ่มคลายตัวและอุปทานส่วนเกิน ผนวกกับการพัฒนาแบตเตอรี่ให้มี Energy density (Wh/Kg) สูงขึ้น และต้นทุนการดำเนินการ (Opex) ที่ลดลง ส่งผลให้ราคาแบตเตอรี่มีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้คาดว่าราคาแบตเตอรี่จะลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2024 จะลดลงราว 21% มาอยู่ที่ 121ดอลลาร์สหรัฐ/kWh และคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องโดยเฉลี่ยที่ราว 12% ต่อปี ในช่วง 2024-2027 มาอยู่ที่ 83 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh 
ราคาแบตเตอรี่ที่ลดลงในอนาคตจะยิ่งหนุนความต้องการไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้การลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจาก Solar + BESS มีความน่าสนใจมากขึ้น โดย SCB EIC ประเมิน IRR ที่ 11-15% 

SCB EIC ได้ทำการประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้า (Utility scale) สำหรับผลิตไฟฟ้าจาก Solar + BESS ตาม PDP 2018 Rev.1ของประเทศไทย ทั้งนี้ หากเริ่มดำเนินโครงการในปี 2024 โดยลงทุนในปี 2022-2023 จะมี IRR ที่ 11-15% ที่ D/E: 2.55 อีกทั้ง IRR มีแนวโน้มดีขึ้นสอดคล้องกับต้นทุน Solar PV และราคาแบตเตอรี่ที่ลดลง 

สำหรับภาคครัวเรือนและธุรกิจขนาดเล็ก ความเหมาะสมในการติดตั้ง Solar rooftop + แบตเตอรี่ ยังจำกัดอยู่ในกลุ่มที่มีค่าไฟสูง
SCB EIC ได้ศึกษาความคุ้มค่าในการติดตั้ง Solar + แบตเตอรี่สำหรับกลุ่มครัวเรือนและธุรกิจขนาดเล็ก พบว่า 
ด้วยต้นทุนของแบตเตอรี่ในปัจจุบันที่ยังค่อนข้างสูง ทำให้กลุ่มที่เหมาะสมที่จะติดตั้ง Solar + BESS ยังจำกัดอยู่แต่ในกลุ่มที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงมากกว่า 20,000 บาทต่อเดือน เช่น บ้านขนาดใหญ่ ร้านอาหารที่เปิดถึงช่วงเวลากลางคืน (20.00 – 22.00 น.) และอะพาร์ตเมนต์หรือคอนโดมิเนียมที่มีการเปิดไฟสำหรับส่วนกลาง ซึ่งหากพิจารณาจากจุดคุ้มทุนในการติดตั้ง Solar rooftop + BESS ควรจะน้อยกว่า 10 ปี โดยหากต้องการกักเก็บและจ่ายไฟฟ้าได้ 2 ชั่วโมงหลังจากหมดไฟฟ้าจาก solar pv แล้ว จะต้องมีค่าไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 21,100 บาทต่อเดือน และกำลังการติดตั้งสูงที่ 10 kWp และหากต้องการกักเก็บและจ่ายไฟฟ้าได้ถึง 4 ชั่วโมง จะต้องมีค่าไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 61,000 บาทต่อเดือนและกำลังการติดตั้งสูงที่ 20 kWp

แม้ว่าตลาดแบตเตอรี่ยังมีโอกาสทางธุรกิจได้อีกมาก แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องติดตามทั้งการแข่งขันในเทคโนโลยี วัตถุดิบและต้นทุนในการผลิต รวมถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม
SCB EIC ประเมินว่า ความท้าทายของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และการนำมาใช้ประโยชน์ในประเทศไทยที่ต้องติดตามมี 4 ประการ ได้แก่ 

1. เทคโนโลยีใหม่ที่พร้อมเข้ามาเปลี่ยนเกมการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น เช่น การใช้ All solid state battery และการปรับเปลี่ยนขั้นตอนการแพ็กแบตเตอรี่ 

2. ต้นทุนการผลิตที่พึ่งพิงสินแร่ราคาสูง แม้ว่าราคาจะมีแนวโน้มลดลง แต่ยังคงมีปัจจัยภายนอกที่อาจกระทบให้ราคามีความผันผวน เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และมาตรการกีดกันทางการค้า 

3. ราคาแบตเตอรี่ที่อาจลดลงไม่มากพอที่จะจูงใจในการติดตั้ง Solar+BESS ในกลุ่มโรงไฟฟ้า รวมถึงภาคครัวเรือนและธุรกิจขนาดเล็ก 

 4. การรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่หมดสภาพหรือครบอายุการใช้งาน (Retired battery) แล้ว ซึ่งจะเป็นประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมสำคัญที่จะกดดันการผลิตแบตเตอรี่ในอนาคต ซึ่งประการสำคัญทั้งหมด ผู้ประกอบการไทยรวมถึงภาครัฐต้องเร่งสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาต่อไป

แบตเตอรี่มีบทบาทอย่างไรในยุควิกฤติโลกร้อน? 
การพัฒนาประสิทธิภาพของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยเร่งจากกระแสความต้องการยานยนต์ไฟฟ้า และระบบกักเก็บพลังงานของภาคการผลิตไฟฟ้าเพื่อตอบโจทย์เทรนด์การเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาดเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้ การใช้งานแบตเตอรี่ที่รู้จักกันทั่วไป 

เดิมจะถูกนำมาใช้สำหรับการจ่ายไฟฟ้าให้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น แบตเตอรี่สำหรับรถยนต์สันดาป เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ถ่านไฟฉาย และแบตเตอรี่สำหรับโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ต่อมาได้มีการพัฒนาและเริ่มนำแบตเตอรี่ Nickel-metal hydride มาใช้ในยานยนต์ประเภทรถยนต์ไฮบริด และพัฒนามาเป็นแบตเตอรี่ Lithium-ion ที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน 

ทั้งนี้ หลังจากมีการคิดค้นและเริ่มใช้แบตเตอรี่ Lithium-ion ในเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ในปี 1991 ผู้ประกอบการก็ได้กระโดดเข้ามาในตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการใช้แบตเตอรี่สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การขนส่ง อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงาน ที่ล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและมีการผลิตแบตเตอรี่ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า (Electric vehicle) ที่ต้องการแบตเตอรี่ที่มีความจุไฟฟ้าสูง ขณะเดียวกันก็ต้องมีน้ำหนักเบาและมีขนาดเล็ก ทั้งสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลและเชิงพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันค่ายรถยนต์ต่างแข่งขันกันพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ที่สามารถเก็บพลังงานให้วิ่งได้ไกลมากขึ้นจากการชาร์จต่อครั้ง รวมถึงการพัฒนาที่ทำให้ต้นทุนของแบตเตอรี่ต่อหน่วยไฟฟ้าต่ำลง นอกจากนี้ การพัฒนาไม่ได้จำกัดแค่ยานยนต์ไฟฟ้า แต่ยังส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาไปในภาคการผลิตไฟฟ้าด้วย (รายละเอียดเพิ่มเติม Box 1 : การพัฒนาเทคโนโลยีที่เน้นเพิ่มคุณสมบัติให้ดีขึ้นและราคาที่ลดลงของแบตเตอรี่ที่ยังใช้ในปัจจุบันจนถึงอนาคต) ทำให้ปัจจุบันแบตเตอรี่กลายเป็น Game changer ของพลังงานในอนาคตที่มาแรงอย่างมาก 

นอกจากนี้ ปัจจัยเร่งที่สำคัญอีกประการนึง คือการนำแบตเตอรี่มาเป็นตัวช่วยหลักในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยหากเปรียบเทียบการปล่อยคาร์บอนต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (CO2e/kWh) จากพลังงานแต่ละแหล่ง พบว่ากระบวนการผลิตแบตเตอรี่ Lithium-ion ปล่อยคาร์บอนน้อยที่สุดประมาณ 33 CO2e/kWh และหากใช้รวมกับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจะปล่อยคาร์บอนเพียง 46-76 CO2e/kWh ซึ่งน้อยกว่ากิจกรรมที่มีการเผาไหม้จากพลังงานฟอสซิล เช่น ก๊าซ น้ำมัน และถ่านหิน  ที่ปล่อยคาร์บอนมากกว่าเป็น 10 เท่า

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 68