26ตุลาคม สองห้วงเวลาแห่งความอาลัย จากรัชกาลที่ 9 สู่พระพันปีหลวง
26 ตุลาคม กลายเป็นวันประวัติศาสตร์ชาติไทย สะท้อนความจงรักภักดีจากพระราชพิธีถวายพระเพลิงรัชกาลที่ 9 สู่การเตรียมพระเมรุมาศถวายพระเพลิงพระพันปีหลวง
KEY
POINTS
- วันที่ 26 ตุลาคม เป็นวันแห่งความทรงจำที่เชื่อมโยงสองห้วงเวลาแห่งความอาลัยของคนไทย
- ในปี พ.ศ. 2560 เป็นวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
- ในปี พ.ศ. 2568 จะเป็นวันเคลื่อนพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สู่พระบรมมหาราชวัง
26 ตุลาคมวันแห่งความอาลัยและพระราชพิธีสูงสุดของแผ่นดิน
วันที่ 26 ตุลาคม กลายเป็นวันแห่งความทรงจำร่วมของคนไทยทั้งชาติ — ครั้งหนึ่งในปี2560 คือวันที่ประชาชนทั้งประเทศหลั่งไหลมาที่ท้องสนามหลวง เพื่อร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
แปดปีต่อมา วันที่ 26 ตุลาคม 2568 ประเทศไทยกลับมาสู่บรรยากาศแห่งความอาลัยอีกครั้ง ในการ **เคลื่อนพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ณ พระบรมมหาราชวัง — สัญลักษณ์ของการส่งเสด็จ “แม่แห่งแผ่นดิน” สู่สรวงสวรรค์อย่างสมพระเกียรติ
พระราชพิธีถวายพระเพลิงร.9 ภาพแห่งความทรงจำที่ไม่มีวันลืม
พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ รัชกาลที่ 9 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25–29 ตุลาคม 2560 โดยวันถวายพระเพลิงจริงคือวันที่26 ตุลาคม ซึ่งรัฐบาลประกาศเป็นวันหยุดราชการพิเศษทั่วประเทศ
ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงได้ถูกเนรมิตให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์กลางใจคนไทย ด้วยพระเมรุมาศจำลองเขาพระสุเมรุที่ก่อสร้างอย่างประณีตบรรจง โดยกรมศิลปากรถ่ายทอดงานช่างไทยทุกแขนง ทั้งสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม และศิลปหัตถกรรม จนกลายเป็น “สถาปัตยกรรมแห่งความอาลัย” ที่สะท้อนพระราชศรัทธาและความผูกพันระหว่างพระมหากษัตริย์กับพสกนิกร
นับตั้งแต่พระราชพิธีครั้งนั้น พระเมรุมาศรัชกาลที่ 9 ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์แห่งความสูญเสีย แต่ยังเป็นมรดกทางจิตวิญญาณของชาติ ที่บันทึกความทรงจำร่วมของคนไทยทั้งประเทศไว้ในทุกชิ้นงานศิลป์
การเตรียมพระเมรุมาศพระพันปีหลวง สืบสานราชประเพณีด้วยหัวใจ
ในปี 2568 บรรยากาศการเตรียมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ **สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างสง่างามและเรียบขรึม โดยมีกรมศิลปากรเป็นหน่วยงานหลักในการออกแบบและก่อสร้างพระเมรุมาศและอาคารประกอบ
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า ได้เตรียมความพร้อมของบุคลากรทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกขั้นตอนดำเนินไปตาม โบราณราชประเพณีและศิลปกรรมไทยชั้นสูง โดยจะนำประสบการณ์จากพระราชพิธีครั้งรัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ในการออกแบบครั้งนี้ เพื่อให้สมพระเกียรติ “พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” อย่างที่สุด
นอกจากการก่อสร้างแล้ว ยังมีการบูรณะ ราชรถ ราชยาน ที่จะใช้ในพระราชพิธี ตลอดจนการจัดทำ จดหมายเหตุเฉลิมพระเกียรติ เพื่อบันทึกเหตุการณ์ตั้งแต่มีประกาศสำนักพระราชวังเรื่องการเสด็จสวรรคตอย่างเป็นระบบ
ข้าราชการและช่างศิลป์ของกรมศิลปากร ทั้งรุ่นปัจจุบันและผู้เกษียณที่เคยถวายงานในอดีต ต่างพร้อมใจกันกลับมาร่วมสร้างงานประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ของแผ่นดิน
จาก “เขาพระสุเมรุ” ถึง “พระเมรุมาศแห่งพระแม่”ศิลปะและศรัทธา
พระเมรุมาศทั้งสองยุคไม่เพียงสะท้อนความงดงามทางสถาปัตยกรรม แต่ยังสะท้อน “ความต่อเนื่องของศิลปะไทย” ที่ยึดมั่นในแนวคิดจักรวาลตามคติพุทธ–พราหมณ์ คือการจำลองสวรรค์ไว้บนพื้นดิน เพื่อส่งเสด็จพระผู้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของแผ่นดินกลับสู่สรวงสวรรค์อย่างสมพระเกียรติ
หากพระเมรุมาศรัชกาลที่ 9 คือ “ยอดเขาพระสุเมรุแห่งความรักและภักดี” — พระเมรุมาศพระพันปีหลวงก็จะเป็น “เรือนสถิตแห่งพระเมตตา” ที่งดงามและอ่อนช้อยยิ่งกว่าสถาปัตยกรรมใด ๆ
สองห้วงเวลาหนึ่งความจงรักภักดี
จากปี2560ถึง2568 ระยะเวลาเพียง 8 ปี แต่ความรู้สึกของประชาชนไทยกลับไม่เปลี่ยน ทุกหัวใจยังคงพร้อมแสดงความอาลัยและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในแต่ละครั้ง ไม่เพียงเป็น “งานแห่งแผ่นดิน” หากยังเป็น “งานแห่งหัวใจ” ที่หลอมรวมพลังของศิลปะ ประเพณี และศรัทธาไว้ในทุกเส้นสายของพระเมรุมาศ
และในปีนี้ ประเทศไทยกำลังเดินเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์อีกครั้ง เพื่อส่งเสด็จ “พระพันปีหลวง” สู่สวรรคาลัยด้วยความจงรักภักดีอันหาที่สุดมิได้
เครดิตภาพ ประกอบเนื้อหา http://www.kingrama9.th/PhotoGallery (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง อมรเดช ชูสุวรรณ