เปิดภารกิจ "วิฑูรย์ เจียสกุล" พลิกฟื้นการเคหะฯ
ภารกิจสำคัญของ “วิฑูรย์ เจียสกุล” ผู้ว่าการเคหะแห่งชาติ (กคช.) คนใหม่แกะกล่อง หนีไม่พ้นการขับเคลื่อนองค์กรตามแผนพลิกฟื้น กคช. ที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปเมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา
ภารกิจสำคัญของ “วิฑูรย์ เจียสกุล” ผู้ว่าการเคหะแห่งชาติ (กคช.) คนใหม่แกะกล่อง หนีไม่พ้นการขับเคลื่อนองค์กรตามแผนพลิกฟื้น กคช. ที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปเมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา
สำหรับแผนพลิกฟื้นดังกล่าว ประกอบไปด้วย 4 แผนหลัก คือ แผนที่ 1 บริหารจัดการโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่เคยตั้งเป้าไว้ว่าทุกอย่างทั้งการขายและการก่อสร้าง รวมถึงการส่งมอบให้ลูกค้าจะจบภายในปี 2555 หรืออย่างช้าต้นปี 2556
แผนที่ 2 แผนบริหารจัดการทรัพย์สินรอการพัฒนา หรือ Sunk Cost ที่เหลือมาจากการระงับโครงการบ้านเอื้ออาทรบางส่วน ทำให้มีที่ดินรอการพัฒนาอีกกว่า 6,000 ไร่ มาพัฒนาต่อทั้งการพัฒนาเอง เปิดทางให้เอกชนเข้ามาร่วมทุน หรือขายเช่าที่ดินให้เอกชนมาดำเนินการ
ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่
แผนที่ 3 คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายขององค์กร และแผนสุดท้าย คือแผนการปรับโครงสร้างองค์กรของ กคช. ที่วิฑูรย์ตั้งใจจะทำให้องค์กรมีขนาดที่เล็กลงแต่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากการแก้ปัญหาบ้านเอื้ออาทร และการนำทรัพย์สินที่ยังเหลืออยู่มาพัฒนาต่อเนื่องแล้ว การปรับโครงสร้างองค์กรเป็นแผนที่ ผู้ว่า กคช.คนใหม่เน้นย้ำ เนื่องจากในเวลา 23 ปีข้างหน้า กคช.จะมีพนักงานเกษียณเป็นจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสที่จะเซตองค์กรใหม่ แต่จะไม่ให้มีผลกระทบกับการว่าจ้างพนักงานที่ยังอยู่
ในขณะเดียวกันจะมีการเพิ่มบทบาทกับงานเก่าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแผนงานการเพิ่มรายได้ คือ อาคารเช่าที่ กคช.ดูแลอยู่ทั่วประเทศ ถ้ามีการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะสามารถเพิ่มรายได้ให้ กคช.ได้อีกทางหนึ่ง จึงจะมีฝ่ายใหม่ที่เข้ามาดูแลอาคารเช่าโดยเฉพาะ
อีกหน่วยงานที่จะเพิ่มบทบาทขึ้น คือ ศูนย์บริหารสินเชื่อและหนี้ ที่มีหน้าที่ในการติดตามหนี้และหาสินเชื่อให้กับลูกค้าเช่าซื้อ ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับ กคช.อีกทางเช่นกัน จึงจะยกฐานะของศูนย์บริการสินเชื่อและหนี้ให้มีสถานะเป็นฝ่าย เพื่อประสิทธิภาพการดำเนินงานที่มากขึ้น
หนุนคนซื้อบ้านหลังแรก
ทั้ง 4 แผนจะถูกขับเคลื่อนด้วยแผนกลยุทธ์ของ กคช. ที่สำคัญๆ คือ การบริหารทรัพย์สินที่มีศักยภาพสูงเพื่อสร้างรายได้ โดยอาจจะนำมาร่วมทุนกับเอกชนและแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ส่วนทรัพย์สินที่รอการพัฒนา โดยเฉพาะที่ดินสะสมที่มีอยู่จะมีการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก จะเป็นที่ดินที่มีมูลค่าเท่าเดิม หรือลดลงรวม 76 โครงการ จะเร่งดำเนินการให้หมดไปโดยเร็ว ซึ่งเป็นไปตามแผนที่ได้ขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเอาไว้ คือ การนำมาพัฒนาเป็นโครงการสำหรับผู้มีรายได้น้อย รายได้ปานกลาง และรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง
ส่วนกลุ่มที่ 2 จะเป็นที่ดินที่มีศักยภาพสูงรวม 67 โครงการ กคช.จะเป็นผู้ลงทุนเอง และบางแปลงจะร่วมทุนกับภาคเอกชน
ในขณะเดียวกัน กคช.ในยุคของ วิฑูรย์ เจียสกุล จะมุ่งเน้นการหานวัตกรรมมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการการดำเนินงานในตัวโปรดักต์ที่จะออกมาจะเน้นความเป็น Eco Green หรือโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นธีม หลักในการพัฒนาโครงการของ กคช.ในอนาคต
ส่วนด้านการขายจะหานวัตกรรมมาช่วยเพิ่มอำนาจการซื้อให้กับลูกค้า กคช.สามารถเข้าถึงโครงการของ กคช. โดยเฉพาะบ้านเอื้ออาทรที่ยังมีเหลือขายอยู่อีกประมาณ 5.6 หมื่นหน่วย ผู้ว่าการ กคช. คนใหม่ตั้งใจว่าจะทำให้เหมือนกับโครงการบ้านหลังแรก ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้ประชาชนกู้ซื้อบ้านในอัตราดอกเบี้ย 0% ใน 2 ปีแรก
ทั้งนี้ อาจจะรื้อฟื้นการตั้งกองทุนเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย หรือ Housing Fund ขึ้นมาให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถซื้อบ้านเป็นของตนเองได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำขึ้นมาอีกครั้ง
ชูกรีนคอนเซปต์ขายบ้าน
ด้านนางพรรณสุภา ยุทธภัณฑ์บริภาร ผู้ช่วยผู้ว่าการ กคช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในแผนยุทธศาสตร์ กคช. ที่จะนำที่ดินมาพัฒนาโครงการในแบรนด์ใหม่ By NHA ใน 5 ปี รวม 67 โครงการ โดยได้นำร่องเปิดขายแล้ว 15 โครงการ จำนวน 6,965 หน่วย มูลค่า 6,000 ล้านบาท ขณะนี้มียอดขายแล้วประมาณ 20%
ผู้ว่าการ กคช.คนใหม่ จะเน้นให้เพิ่มเรื่องสิ่งแวดล้อมในโครงการ ทำให้เป็นชุมชนสีเขียวและประหยัดพลังงานเป็นจุดขายให้กับโครงการ อย่างเช่น โครงการที่ร่มเกล้าที่ใช้กรีนคอนเซปต์เป็นจุดขาย จะทำสายไฟลงดินทั้งโครงการและปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่ทั้งโครงการ เป็นต้น นอกจากนี้สำหรับโครงการขนาดใหญ่จะมีการพัฒนาคอมมูนิตีมอลล์เพื่อสร้างรายได้ให้กับ กคช.เพิ่มด้วย
ภารกิจในเฟสที่ 2 ในการพลิกฟื้น กคช. ที่ใกล้ล้มละลายให้กลับมาเป็นองค์กรที่สามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ เป็นบทพิสูจน์ฝีมือผู้ว่าการ กคช.คนใหม่ ว่าจะทำได้แค่ไหนอีกไม่นานคงได้รู้


