SET ไซด์เวย์ ในกรอบ 1,248-1,258 จุด ยังขาดปัจจัยใหม่หนุน
SET ไซด์เวย์/ชะลอตัว ขาดปัจจัยใหม่หนุน อยู่ในโหมดเฝ้าระวังต่อ หลังไม่ตอบสนองต่อปัจจัยบวกเรื่องการลดดอกเบี้ย กลยุทธ์การลงทุน “Selective Buy” แนะนำ CENTEL และ SAWAD
KEY
POINTS
- ตลาดหุ้นไทย (SET) ถูกประเมินว่าจะเคลื่อนไหวในลักษณะไซด์เวย์ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุน และนักลงทุนอยู่ในโหมดเฝ้าระวัง
- ดัชนีมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับที่ 1,248 จุด และแนวต้านที่ 1,258 จุด โดยต้องกลับไปยืนเหนือแนวต้านเพื่อยกเลิกแนวโน้มขาลง
- ปัจจัยที่ต้องติดตามซึ่งส่งผลต่อทิศทางตลาด ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ และการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญในต่างประเทศ
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ประเมินว่า ตลาดไซด์เวย์/ชะลอตัว ตลาดยังอยู่ในโหมดเฝ้าระวังต่อ หลังไม่ตอบสนองต่อปัจจัยบวกเรื่องการลดดอกเบี้ยและในที่สุดปรับลง ระยะสั้นติดตามนโยบายพรรคการเมืองโดยเฉพาะ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัจจัยภายนอก ตลาดหุ้นญี่ปุ่นลงต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ก่อนรู้ผล BOJ วันนี้ หากเป็นไปตามคาดอาจมีแรง Cover Short สั้น ทางเทคนิค ตลาดหลุดแนวรับสำคัญ 1250-1248 วันนี้ต้องขึ้นไปยืนเหนือแนวต้าน 1255-1258 ซึ่งจะยกเลิก แนวโน้มลง มิฉะนั้นยังระวัง แนวรับหลักถัดไป 1240/1230
ทั้งนี้ ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาส Sideway down จากกังวลสุญญากาศทางการเมืองไทย โดยมีแนวโน้มลงไปทดสอบฐานเดิมบริเวณ 1230 และมีกรอบบนจำกัดที่ 1285 โดยมีปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ ได้แก่ BOJ (ตลาดคาดปรับขึ้น ดอกเบี้ย 25bps สู่ 0.75%), BoE (ตลาดคาดอกเบี้ยลง 25bps) และ BOE (ตลาดคาดจะยังคงดอกเบี้ยนโยบาย) ส่วน กนง. ได้ลดดอกเบี้ยนโยบาย ลง 25bps สู่ 1.25% และข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาทิ เงินเฟ้อ พ.ย., PCE ต.ค. และตัวเลขภาคแรงงาน พ.ย. ส่วนปัจจัยในประเทศติดตามรายชื่อผู้สมัครและนโยบายหลักแต่ละพรรค หลัง กกต. ประกาศวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 ก.พ.2569
ดังนั้น กลยุทธ์ลงทุนแนะนำให้ "Selective Buy" ใน 3 ธีมหลัก และ 3 ธีมเทรดดิ้ง ดังนี้
1. หุ้น Defensive ซึ่งผลการดำเนินงานสามารถต้านทานความผันผวนภายนอก คาดไตรมาส 4/2568 กำไรยังเติบโตดี YoY และแนะนำ Outperform แนวโน้มธุรกิจดี แนะนำ ADVANC BDMS BEM BGRIM GULF PTT
2.หุ้นปันผลคุณภาพดีเพื่อสร้างกระแสเงินสดและลดความผันผวนให้แก่พอร์ตลงทุน แบ่งเป็น 1) หุ้นปันผล สำหรับลงทุนระยะยาว (กำไรแต่ละปีมั่นคง, ผันผวนต่ำ, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง, มี SETESG Rating A-AAA และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield สูงเกินปีละ 5%) แนะนำ AP DIF KTB PTT TISCO และ 2) หุ้นปันผลสำหรับลงทุนระยะสั้น 6 เดือน (กำไรปี 2568 มั่นคง, ผันผวนต่ำ, คาดมีเงินปันผลจากกำไรปี 2568 ที่เหลือจ่ายหลังหักเงินปันผลที่ประกาศจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว ซึ่งให้ Div. Yield เกิน 5%) แนะนำ BAM KBANK SAT THANI TLI
3. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง โดยเราคาด กนง. จะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายปีนี้ อีก 1 ครั้งในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ และปีหน้า 2 ครั้งในปี 2569 อาทิ หุ้นที่จะมีต้นทุนการเงินลดลง เพราะมีภาระหนี้สิน ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง แนะนำ CENTEL GPSC TRUE และหุ้นที่จะมีต้นทุนการดำเนินการลดลง หรือ กำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น แนะนำ AP MTC รวมทั้งหุ้นกลุ่ม REITs แนะนำ DIF FTREIT LHHOTEL
4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่คาดได้ sentiment บวกระยะสั้นหาก กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายสัปดาห์นี้ แนะนำ AP GULF GPSC MTC SAWAD 2) หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินเข้าสู่ระบบในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CPAXT BJC) กลุ่มอาหาร (GFPT) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) ขณะที่แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนระยะสั้นในหุ้นกลุ่มรับเหมาและกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เพราะเชื่อมโยงกับนโยบายและโครงการของรัฐ และ 3) หุ้น SET50 ที่คาดได้อานิสงส์จากทําปิด Window Dressing แนะนำ BDMS BH MINT CPF LH ซึ่งราคาหุ้นปรับลง YTD และพบสถิติย้อนหลัง 5 ปี ราคาหุ้นจะปรับขึ้นเฉลี่ย 2.2% หากซื้อก่อน 5 วันทำการสุดท้ายก่อนสิ้นปี
สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ CENTEL ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากการเข้า SET50 ในครึ่งแรกของปี 2569 และความขัดแย้งจีน-ญี่ปุ่นทยอยหนุนให้ นักท่องเที่ยวจีนหันไปเที่ยวประเทศอื่น รวมถึงไทยได้ ล่าสุด นักลงทุนต่างชาติเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น 5.2%WoW ขณะที่กำไรยังมีแนวโน้มดีเพิ่ม QoQ ในไตรมาส 4/2568-ไตรมาส 1/2569 คาดปี 2569 กำไรโต 16%YoY เป้าหมายระยะสั้น 32.75 บาท
SAWAD ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากการลดดอกเบี้ยของ กนง. หนุน และการ เข้า SET50 ในครึ่งแรกของปี 2569 ทางพื้นฐานเราคาดว่ากำไรจะโต 12% ในปี 2569 ได้รับแรงหนุนจากสินเชื่อขยายตัว 10% จากสินเชื่อจำนำทะเบียน ในขณะที่ NIM คาด เพิ่มขึ้น 13 bps รวมถึง Credit Cost ที่ลดลง 20bps ราคาเป้าหมายระยะสั้น 27 บาท


