posttoday

อภิชาติ จูตระกูล เผยความรู้สึกหลังแสนสิริอ่วมซีรีส์แฉเพื่อชาติ

19 สิงหาคม 2566

อภิชาติ จูตระกูล ในบทบาทรักษาการซีอีโอ เผยความรู้สึกหลังบมจ.แสนสิริต้องฝ่ากระแสซีรีส์แฉเพื่อชาติโดยชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ มั่นใจบริหารองค์กรบนหลักความถูกต้อง ยืนยันซื้อที่ดินผ่านบริษัทตัวกลางและไม่ได้ปล่อยกู้รปภ.

หลังชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เปิดซีรีส์แฉเพื่อชาติ Ep.2 ที่เปิดเผยว่า การซื้อขายที่ดินของ บมจ.แสนสิริ ระหว่างที่เศรษฐา ทวีสิน นั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ใช้นอมินีซื้อที่ดินปล่อยกู้ 1,000 ล้านบาทให้รปภ. จนบริษัทออกแถลงการณ์ตอบโต้ไป 2 ฉบับ และยังมีคลิปชี้แจงของเศรษฐาที่เผยแพร่ทางเฟซบุ๊กส่วนตัวตามมาอีกเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ที่ผ่านมา แต่เรื่องนี้ยังไม่จบลงง่าย ๆ เพราะชูวิทย์ก็ได้ท้ายทายด้วยการตั้งคำถามถึงเชื่อถือกลับไปทางเฟซบุ๊กอีกครั้ง เช่นเดียวกับที่มีโพสต์อื่น ๆ ถึงแสนสิริตามมาอีก เช่นเดียวกับที่เคยทิ้งท้ายว่าจะมี Ep.3 มาอีกในเร็ววันนี้

กระทั่งล่าสุด นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานกรรมการและรักษาการประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. แสนสิริ ได้เผยความรู้สึกในประเด็นต่าง ๆ พร้อมออกมาชี้แจงว่า

ก่อนการอนุมัติจัดซื้อที่ดินของบริษัทในแต่ละแปลง จะมีบริษัทสรรหาที่ดินที่มีความเชี่ยวชาญ ทำการตรวจสอบข้อมูลขั้นต้น และข้อมูลรายละเอียดของที่ดินก่อนที่นำมาเสนอขาย ทั้งในรูปแบบของบริษัทลูก หรือบริษัทภายนอก เพราะการซื้อขายที่ดินในวงการอสังหาฯของบริษัทขนาดใหญ่ดำเนินการเหมือนแสนสิริ กล่าวคือ ซื้อขายผ่านบริษัทตัวกลางที่ทำหน้าที่เคลียร์ปัญหาที่ดิน 

นั่นเพราะที่ดินแทบทุกแปลงต่างมีปัญหาอยู่เสมอในกรณีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเส้นรังวัด  ลำราง เจ้าของ หรือผู้ครอบครอง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่บริษัทอสังหาฯ ขนาดใหญ่ส่วนมากจึงให้บริษัทตัวกลางทำหน้าที่จัดการปัญหาต่าง ๆ ก่อนมาเสนอขายที่ดิน และนำเสนอคณะกรรมการบริษัทเพื่อขออนุมัติซื้อที่ดิน  จึงถือว่าเป็นวิธีการบริหารความเสี่ยงในการทำธุรกิจอย่างหนึ่ง 

ทั้งนี้นายอภิชาติยืนยันว่า บริษัทซื้อที่ดินมาอย่างถูกต้อง โดยผ่านมืออาชีพที่ได้จัดการทุกอย่างให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นบมจ.แสนสิริ คงไม่สามารถซื้อที่ดินซึ่งมีปัญหาได้ 

"ถ้าแสนสิริต้องมาคลีนปัญหาที่ดินเอง คงไม่มีเวลาไปทำโครงการ แต่คนขายกับเจ้าของที่จะมีวิธีจัดการอย่างไรนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องของแสนสิริ"

สำหรับกรณีที่ ถูกระบุในซีรีส์แฉเพื่อชาติว่าบมจ.แสนสิริได้ปล่อยกู้ให้  รปภ. 1,000 ล้านบาทนั้น อภิชาติยืนยันว่าไม่เป็นความจริง  โดยเขาไม่เคยเซ็นให้เงินกู้กับรปภ. ส่วนการจดจำนองที่เกิดขึ้น เป็นการจำนองเพื่อประกันการปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายของผู้ขาย ซึ่งวงเงินจำนวน 1,000 ล้านบาท เป็นวงเงินที่ครอบคลุมราคาที่ดิน และค่าเสียหาย ที่อาจเกิดขึ้น หากไม่ปฏิบัติตามสัญญาของผู้ขาย ซึ่งทางแสนสิริชำระเงินค่าที่ดินให้แก่ บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัดแล้วหลังจากได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญา

"ที่เขาจดจำนองให้เราหมายความว่าเราได้สิทธิ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเอาเงินไปให้เขา ส่วนกรณีผู้ถือหุ้น (ทศพงศ์ จารุทวี) ที่เป็นญาติกับผู้ถือหุ้นของบริษัทเอ็น แอนด์ เอ็น ฯ ก็รู้จักกันมานานและเขาเคยทำธุรกิจอสังหาฯ มาก่อน ซึ่งก็ถือหุ้นในแสนสิริแค่ 3-5 % กับเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นที่มีถึง  20,000 ราย ก็ไม่ได้มีส่วนในการบริหาร จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน"

พร้อมเปิดเผยความรู้สึกอีกว่า ในฐานะที่ตัวเขาเป็นผู้บริหารบมจ.แสนสิริ จึงมีหน้าที่ปกป้องและอธิบายข้อเท็จให้ทุกคนเข้าใจอย่างถูกต้อง แต่ไม่มีหน้าที่ปกป้องเศรษฐา ส่วนเรื่องการฟ้องร้องจะฟ้องหรือไม่ฟ้องนั้นต้องปรึกษาฝ่ายกฎหมายของบริษัทก่อน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้ฟ้องชูวิทย์ รวมถึงปัจจุบันบริษัทก็ยังขายบ้านได้ตามปกติ และราคาหุ้นก็ไม่ได้รับผลกระทบจากกระแสซีรีย์แฉเพื่อชาติแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม อภิชาติเปิดใจยอมรับว่า หากเศรษฐา ทวีสิน ได้เป็นนายกรัฐมนตรีจะทำให้บมจ.แสนสิริทำงานยากขึ้น โดยเฉพาะการหาซื้อที่ดินจากตัวกลาง เชื่อว่าคนที่จะเสนอขายที่ดินให้แสนสิริคงกังวลมากขึ้น เพราะเกรงว่าจะได้รับผลกระทบหรือถูกนำข้อมูลมาแฉในอนาคต จึงน่าจะส่งให้มีจำนวนคนขายที่ดินให้บริษัทน้อยลงและราคาที่ดินแพงขึ้น สุดท้ายจะส่งผลให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการสูงขึ้นตามมาด้วย

ท้ายที่สุดอภิชาติย้ำว่า บริษัทยังคงพัฒนาโครงการต่อและเชื่อว่ายังขายได้ ด้วยคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ดีไซน์ ทำเล และความมั่นคงของตัวบริษัทเอง ซึ่งหากรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ได้ก็ย่อมมีลูกค้าซื้อบ้านของบมจ.แสนสิริอยู่

ข่าวล่าสุด

LIVE ถ่ายทอดสด นิวคาสเซิ่ล พบ เชลซี พรีเมียร์ลีก วันนี้ 20 ธ.ค.68