posttoday

ตั้งเป้าเปิดโครงการแนวราบ 5 โครงการ มูลค่ากว่า 10,000 ล้าน

20 มีนาคม 2566

สิงห์ เอสเตท เดินหน้ารุกธุรกิจปี 2566 ผ่านแนวคิด “S EXCELS” มุ่งสู่ความเป็นเลิศในทุกมิติ ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ สร้างความหลากหลายที่สมดุล เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Diversity ดันรายได้รวมกว่า 17,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 34%

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (S) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ว่า บริษัทมีแผนกลยุทธ์ “S EXCELS” ในการสร้างความเป็นเลิศในทุกมิติ มิติแรก โดยปีนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้รวมของบริษัทให้เติบโต 34% หรือมีมูลค่าแตะ 17,000 ล้านบาท

แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจโรงแรมและออฟฟิต 12,000 ล้านบาท ธุรกิจที่พักอาศัยและนิคมอุตสาหกรรม 5,000 ล้านบท มิติที่สองคือ การเพิ่มแต้มต่อธุรกิจ เสริมแกร่งศักยภาพในการแข่งขัน เน้นการสร้าง Synergy ที่เกื้อหนุนกันระหว่าง 4 ธุรกิจ และความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ เพื่อสร้างการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ตลอด 3 ปี 

ส่วนมิติที่สามคือ การพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 และกำหนดแผนอนุรักษ์ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพในบริเวณธุรกิจตั้งอยู่ สำหรับกลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบใหม่ บนทำเลศักยภาพ ขยายฐานเจาะตลาดหลากหลายเซกเมนต์ อีก 5 โครงการ มูลค่ารวมโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท

ประกอบด้วย บ้านเดี่ยวระดับราคา 15-30 ล้านบาท และระดับราคา 30-50 ล้านบาท Cluster Home ระดับราคาตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป พร้อม Flagship Cluster Home Project ซึ่งมีระดับราคาเริ่มต้นสูงถึง 550 ล้านบาทต่อหลัง ด้วย อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 6,000-7,000 ล้านบาท 

ขณะเดียวกันเพื่อตอบรับความต้องการในตลาดคอนโดมิเนียมที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่ม Ready-to-move-in ได้อย่างทันท่วงที บริษัทจึงขยายสัดส่วนการถือครองโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 ส่งผลให้สามารถรับรู้รายได้และกำไรจากโครงการดังกล่าวเต็ม 100%

โดยบริษัทคาดว่าโครงการที่พักอาศัยในปีนี้ จะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นกว่า 70% ด้านกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้ามีสัญญาณการฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่องบริษัทตั้งเป้าผลประกอบการเพิ่มขึ้น 20% ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่สูงกว่า 90% ในทุกโครงการ 

ส่วนกลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ หรือ (SHR) โดยโรงแรมในเครือที่ประเทศไทยทั้ง 4 แห่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ คาดรายได้เติบโตถึง 60% ในขณะที่รายได้จากโรงแรมในมัลดีฟส์จะเติบโตขึ้น 30% หนุนรายได้รวมเกิน 10,000 ล้านบาท หรือเติบโต 20%

ตั้งเป้าเปิดโครงการแนวราบ 5 โครงการ มูลค่ากว่า 10,000 ล้าน

ทั้งนี้ ในปี 2566 จะเน้นการเติบโตของอัตราการเข้าพักรวมแตะระดับ All-time High ที่ 75% ขณะที่การหมุนเวียนและต่อยอดการลงทุนสินทรัพย์ รวมถึงการปรับปรุงและยกระดับโรงแรมในเครือ ช่วยเสริมแกร่งผลประกอบการ สนับสนุนให้ SHR สามารถครองตำแหน่งผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทยอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีจะมีการเปิดตัว SO/ Maldives โรงแรมไลฟ์สไตล์หรูระดับ 6 ดาว ในโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง SHR และพันธมิตรทางธุรกิจ คาดผลประกอบการจะสร้างกำไรให้กับบริษัทฯ ในระยะยาวได้ในอีกทางหนึ่ง ทางด้านกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า 

อย่างไรก็ตามบริษัทมีแผนจับมือพันธมิตรทั้งภายในและภายนอกเครือสิงห์ เอสเตท เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน นำเสนอสินค้าและบริการที่แตกต่าง โดยธุรกิจที่พักอาศัย มุ่งก้าวเข้าสู่ตลาด Branded Residence ผ่านการร่วมมือกับ SHR ในอีกทางหนึ่ง การผนึกความร่วมมือยังช่วยให้รุกเร็วและปรับตัวไว

โดยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของโรงแรมในเครือ SHR ทั้งในประเทศไทยและมัลดีฟส์ ซึ่งเป็นการร่วมมือกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน รวมพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ราว 3 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี 

ทั้งนี้บริษัทยังมีแผนขยายการใช้พลังงานสะอาดไปยังโครงการที่มีศักยภาพอื่นๆ ของบริษัทในระยะข้างหน้าอีกด้วย นอกจากนี้บริษัทมีแผนร่วมมือกับผู้ประกอบการซึ่งมีสาขาครอบคลุมศูนย์กลางทางธุรกิจที่สำคัญๆ และมีระบบการบริหารจัดการที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพ ซึ่งการผนึกความแข็งแกร่งของธุรกิจในเครือ สิงห์ เอสเตท

และความร่วมมือจากพันธมิตรจะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญ เสริมศักยภาพในการแข่งขัน ตลอดจนเพิ่มความเร็วในการตอบสนอง ส่งผลให้ บริษัทสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ตลอดระยะเวลา 3 ปีข้างหน้านี้
 
นางฐิติมา กล่าวเพิ่มว่า สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) และสร้างความหลากหลายที่สมดุลเพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจ โดยบริษัทตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 5% ต่อปี

และการเพิ่มเทคโนโลยีนำพลังงานสะอาดมาใช้ในกระบวนการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้มีการรักษาพื้นที่ที่มีความสำคัญด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติสูง อาทิ โรงแรมทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ หรือโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ เป็นต้น