"ปริญสิริ" ผนึกเคพีเอ็นเสริมแกร่ง

ปริญสิริผนึกเคพีเอ็น เสริมจุดแข็งแนวราบ-แนวสูง หวังขึ้นท็อปเทน ด้านเพอร์เฟค ปิดดีลซื้อหุ้นไทย พร็อพฯ

นายชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักกรรมการผู้จัดการ บริษัท ปริญสิริ เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท เคพีเอ็น กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ด้วยงบลงทุน 4,000 ล้านบาท โดยจะออกหุ้นเพิ่มทุนขายให้นักลงทุนและการแลกหุ้น ซึ่งความร่วมมือกันในครั้งนี้จะผลักดันให้บริษัทกลับเข้าไปอยู่ในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับท็อปเทน โดยที่บริษัทจะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ส่วนเคพีเอ็นจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ ซึ่งตลาดจะไม่ทับซ้อนกัน

อนึ่ง ก่อนหน้านี้บริษัท ปริญสิริ ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอหยุดพักการซื้อขายหุ้น เนื่องจากอยู่ระหว่างการดำเนินการเรื่องสำคัญ ซึ่งมีกระแสข่าวออกมาว่า ปริญสิริกำลังจะซื้อหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งก็คือ บริษัท เคพีเอ็น อย่างไรก็ตามมีกระแสข่าวอีกแนวทางหนึ่งว่า การแลกหุ้นในครั้งนี้ เคพีเอ็นจะเข้ามาถือหุ้นใหญ่ในปริญสิริ โดยก่อนหน้านี้เคพีเอ็นก็ได้เข้าไปซื้อหุ้นบริษัท รีนิวเอเบิล เอนเนอยี คอร์เปอร์เรชั่น ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง เพื่อขยายสู่ธุรกิจพลังงาน

ด้าน นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพ เพอร์ตี้ เพอร์เฟค กล่าวว่า ความคืบหน้าในการซื้อกิจการบริษัท ไทย พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งถือหุ้นอยู่ในบริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทล แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ 40% นั้น ปัจจุบันดำเนินการเรียบร้อยแล้ว โดยรายได้จาก 2 โรงแรมในเครือแกรนด์ฯ และการขายคอนโดมิเนียมของแกรนด์ฯ ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท จะเริ่มเข้าบริษัทตั้งแต่ไตรมาส 3/2558 เป็นต้นไป

สำหรับในครึ่งปีหลังบริษัทจะเร่งเปิดตัว 12 โครงการใหม่ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท เพื่อเร่งยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายที่ 1.65 หมื่นล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมาปิดยอดขายได้ที่ 5,800 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 12% ซึ่งเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจครึ่งปีแรกยังไม่ฟื้นตัวมาก

“ครึ่งปีหลังบริษัทมองว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น หลังจากรัฐบาลสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ และมีผลให้กลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยกล้าตัดสินใจซื้อได้ดีขึ้น รวมถึงประเมินว่าภาวะหนี้ครัวเรือนเริ่มผ่อนคลาย จากการกลุ่มผู้ซื้อรถคันแรกบางส่วนทยอยหมดภาระในการผ่อน จะทำให้กลุ่มนี้กลับมามีกำลังซื้อรอบใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องนับจากระยะเวลาเริ่มโครงการรถคันแรกจนถึงปัจจุบันเกือบ 4 ปีแล้ว”นายชายนิด กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลังนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องระมัดระวัง คือ สถานการณ์การเงินในยุโรปกรณีของกรีซ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยผันผวน และปัญหาภัยแล้ง