เมกะโปรเจกต์อีอีซี เริ่มแล้ว ก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 และทางขับ สนามบินอู่ตะเภาฯ
เริ่มแล้ว ก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 และทางขับ สนามบินอู่ตะเภาฯ เมกะโปรเจกต์อีอีซี พร้อมเดินหน้าสู่ศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค
การลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (Mega-projects) โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ อีอีซี ถือเป็น "หัวใจสำคัญ" ในการวางรากฐานการเติบโตของประเทศในระยะยาว ไม่เพียงแต่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นผ่านการลงทุนมูลค่ามหาศาล ขับเคลื่อนให้เกิดการจ้างงานและการบริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยที่เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนโลจิสติกส์ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน
ล่าสุด พลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เป็นประธานในพิธีเริ่มงานก่อสร้าง (Groundbreaking Ceremony) โครงการทางวิ่งที่ 2 และทางขับ สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา โดยมี ดร.ธาริศ อิสสระยั่งยืน และนายก่อเกียรติ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และผู้บริหารจากบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD) เข้าร่วมงาน ณ พื้นที่ Isolated Pad สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา จังหวัดระยอง
พิธีดังกล่าวถือเป็น “หมุดหมายสำคัญ” ของการเริ่มต้นงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลัก
ในการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก เพื่อผลักดันสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาสู่การเป็น ศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) แห่งใหม่ของไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยประธานในพิธีได้ประกอบพิธีกดปุ่มปล่อยตุ้ม ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของปฐมฤกษ์การเริ่มต้นก่อสร้างอย่างเป็นทางการ
โครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 และทางขับ สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา เป็นหนึ่งในโครงการที่มีความสำคัญมากในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเมื่อ 30 ตุลาคม 2561 ครม.อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ในกรอบวงเงินงบประมาณ 17,768 ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินการโครงการก่อสร้างทางวิ่ง และทางขับที่ 2 สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ต่อมาเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินของโครงการฯ จากเดิมใช้เงินงบประมาณ เป็นใช้เงินกู้ตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม วงเงิน 16,210 ล้านบาท และอนุมัติเปลี่ยนแปลงหน่วยดำเนินโครงการ (Implementing Agency) จากเดิมสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เป็นให้กองทัพเรือเป็นหน่วยดำเนินโครงการภายใต้แผนบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ดังนั้น โครงการนี้มิใช่เพียงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นใหม่แต่คือการวางรากฐานสำคัญให้กับอนาคตของประเทศ เป็นหัวใจในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเป็น
การยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินแห่งใหม่ ของภูมิภาคอย่างเต็มภาคภูมิ
สำหรับโครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 และทางขับ สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ได้มีการลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างฯ เมื่อ 12 กันยายน 2568 กำหนดเริ่มงานใน 28 พฤศจิกายน 2568 มีมูลค่าตามสัญญาจ้างเป็นเงิน 13,142 ล้านบาท ดำเนินการก่อสร้างภายในระยะเวลา 1,095 วัน โดยมีกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 29 ตุลาคม 2571 ประกอบด้วยงานสำคัญ ได้แก่:
- จ้างก่อสร้างทางวิ่งและทางขับที่ 2 สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ประกอบด้วย
- ทางวิ่งที่ 2 (Runway 36R/18L) ทางวิ่งที่ 2 (Second Runway) หมายเลข 36R/18L: ความยาว 3,505 เมตร ความกว้าง 60 เมตร
- ทางขับ (Taxiways) และทางขับออกฉับพลัน (Rapid Exit Taxiways) ความยาวรวม 36,820 เมตร ความกว้าง 23 เมตร
- ระบบประกอบและโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วยงานปรับปรุงคุณภาพชั้นดิน ระบบระบายน้ำ ระบบไฟฟ้าสนามบิน อาคารควบคุม และระบบสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้อง
- จ้างที่ปรึกษาควบคุมงาน (Consulting Service) งานก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 และทางขับ
สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา
ด้าน ดร.ธาริศ อิสสระยั่งยืน รองเลขาธิการ สกพอ. กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเป็นโครงการร่วมลงทุนที่ใช้กฎหมายร่วมลงทุนของ สกพอ. ในส่วนของสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ก็แบ่งหน้าที่กันว่าเอกชนที่มาร่วมลงทุนทำอะไรบ้าง สำหรับภาครัฐมีสิ่งที่ต้องดำเนินการ ได้แก่ การสร้างรันเวย์ที่ 2 ที่ได้เริ่มดำเนินการ การก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 7 ที่ปัจจุบันถึงมาบตาพุด และจะต่อขยายมาเชื่อมสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโดยกรมทางหลวง รวมถึงการพัฒนาสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบไฟฟ้า น้ำประปา ท่อน้ำมัน เป็นต้น และจะมีโครงการที่ตามมาอีก เช่น งานสร้างหอบังคับการบิน โดยวิทยุการบิน และเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ จะเริ่มการทดสอบระบบและออกใบอนุญาตให้เปิดได้ โดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ซึ่งคาดว่าน่าจะเปิดใช้ได้ภายในปี 2571
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นชัดว่า การพัฒนาทางวิ่งเส้นใหม่ ไม่ใช่เพียงโครงการของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นงานขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ของอีอีซี ที่ต้องการยกระดับเศรษฐกิจไทยให้พร้อมแข่งขันในระดับภูมิภาค
เมื่อโครงการฯ ทั้งหมดแล้วเสร็จ สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา จะสามารถรองรับปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสาร ตลอดจนการขนส่งสินค้าทางอากาศที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งนี้หมายถึงโอกาสสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ ตลอดจนการเชื่อมโยงกับเขตนิคมอุตสาหกรรมรอบอ่าวไทย สนามบิน จะทำหน้าที่มากกว่าประตูสู่การท่องเที่ยว แต่จะเป็น “เส้นเลือดหลัก” ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจในพื้นที่อีอีซี และภูมิภาคตะวันออก จะยกระดับขึ้นเป็น Aviation Hub “เมืองการบินภาคตะวันออก” อย่างเต็มภาคภูมิ


