posttoday

ณัฏฐพล มั่นใจนำพาการศึกษาไทยสู่ยุคใหม่ด้วยการปลดล็อก ปรับเปลี่ยน เปิดกว้าง ยกกำลังสองการศึกษาไทยสู่ความเป็นเลิศ ด้วยแผนภาพอนาคต Thailand Education Eco-System Blueprint

20 สิงหาคม 2563

Education Minister Nataphol Teepsuwan ประกาศนำพาการศึกษาไทยสู่ยุคใหม่ เตรียมพร้อมสร้างทุนมนุษย์ (Human Capital) ให้ประเทศไทยมุ่งสู่ความเป็นเลิศและยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เผยแผนปฏิรูปการศึกษาแนวทางใหม่ ยกกำลังสองการศึกษาไทยสู่ความเป็นเลิศ เพิ่มศักยภาพนักเรียนรายบุคคล ลดภาระครูและพัฒนาครูให้ทันโลก ปั้นผู้บริหารสู่ CEO โรงเรียนเพื่อความเป็นเลิศ พร้อมปลดล็อก ปรับเปลี่ยน และเปิดกว้าง เพื่อสร้างระบบนิเวศทางการศึกษาให้สมบูรณ์

การศึกษาไม่เพียงเป็นรากฐานของชีวิต ยังเป็นเครื่องชี้วัดถึงคุณภาพและศักยภาพในด้านต่าง ๆ ของสังคมและประเทศชาติ การเข้ามารับหน้าที่บริหารการศึกษาของประเทศในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ทุ่มเทในทุกด้านเพื่อให้การศึกษาไทย เปลี่ยนสู่การศึกษายุคใหม่ที่สามารถผลักดันให้ประเทศเจริญก้าวหน้าได้อย่างแท้จริง โดยตลอด 1 ปีที่ผ่านมาได้ให้ความสำคัญต่อการลงพื้นที่เพื่อรับฟังและเข้าใจปัญหาจริงของระบบการศึกษาไทย โดยพบว่าหลายร้อยโรงเรียนในหลายร้อยพื้นที่ ต้องได้รับการปลดล็อก ปรับเปลี่ยน และเปิดกว้าง เพื่อให้สามารถพัฒนาไปสู่การสร้าง “ทุนมนุษย์” ที่เป็นเลิศ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการนำพาประเทศให้เข้มแข็งและยั่งยืนต่อไปในอนาคต

“ในศตวรรษที่ 21 ข้อเท็จจริงและความรู้ต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงความต้องการของตลาดงานก็เปลี่ยนไป แต่ระบบการศึกษาไทยไม่เคยเปลี่ยน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่ได้ลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับปัญหาของการศึกษาในสถานที่และบริบทจริงตามสถานศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้วทุกคน ทั้งนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษามีศักยภาพและมีความพร้อมในการที่จะพัฒนาตัวเอง เพียงแต่ต้องสร้างระบบการศึกษาให้ตอบโจทย์และเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในแบบฉบับของตัวเองจนเป็นทุนมนุษย์ที่เป็นเลิศ สามารถพัฒนาประเทศชาติให้มีความสามารถในการแข่งขันและก้าวหน้าได้ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการศึกษาจากเดิมที่ทำให้เด็กไทยมีความรู้และความคิดแบบ Fixed Mindset เป็นการศึกษาที่จะช่วยให้เกิดระบบความคิดแบบ Growth Mindset โดยก้าวข้ามระบบการศึกษา ไปสู่การสร้างระบบนิเวศของการศึกษา หรือ Education Eco-System ซึ่งคุณภาพสำคัญกว่าแค่ปริมาณ นี่คือกระทรวงศึกษาธิการที่ผมอยากเห็นและอยากให้เป็น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าว

Thailand Education Eco-System คือระบบนิเวศทางการศึกษาที่เน้นความเข้าใจใน Supply และตอบโจทย์ Demand โดยมีกลไกขับเคลื่อนเป็นส่วนเชื่อมโยงระหว่าง Supply และ Demand ซึ่งกลไกขับเคลื่อนนี้ประกอบด้วยสองส่วน คือแพลตฟอร์มที่ทำให้เกิดความร่วมมือและเสริมสร้างความสามารถหรือสมรรถนะที่ตลาดงานต้องการ ทั้งนี้ การจะสร้างระบบนิเวศทางการศึกษาที่สมบูรณ์ และสร้างประเทศไทยให้เป็นฐานทุนมนุษย์ที่เป็นเลิศได้นั้น นายณัฏฐพลได้เผยแผนปฏิรูปการศึกษาแนวทางใหม่

โดยการ “ปลดล็อก” กลไกขับเคลื่อนการศึกษาร่วมกับทุกภาคส่วน นำภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคสังคม จับมือเป็นรูปธรรม เพื่อปฏิรูปการศึกษาสู่ความเป็นเลิศอย่างแท้จริงและยั่งยืน

ด้าน “ปรับเปลี่ยน” มีเป้าหมายหลักคือการปรับเปลี่ยนหลักสูตรเพื่อพัฒนาความก้าวหน้าของนักเรียน ครู และผู้บริหารสถานศึกษา ตลอดเส้นทางการเรียนรู้และอาชีพ เพื่อความเป็นเลิศตามแบบฉบับของตนเอง

และ “เปิดกว้าง” ในการบริหารจัดการสถานศึกษาโดยต่อยอดจากมาตรฐานด้านคุณภาพ เพื่อนำพาโรงเรียนสู่ความเป็นเลิศตามบริบทแวดล้อม และนำพาวิทยาลัยสู่ความเป็นเลิศและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง

ณัฏฐพล มั่นใจนำพาการศึกษาไทยสู่ยุคใหม่ด้วยการปลดล็อก ปรับเปลี่ยน เปิดกว้าง ยกกำลังสองการศึกษาไทยสู่ความเป็นเลิศ ด้วยแผนภาพอนาคต Thailand Education Eco-System Blueprint

ทั้งนี้ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการภายใต้การนำของ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ได้จัดเตรียมกลไกขับเคลื่อนการศึกษาไทยยุคใหม่ อันจะนำพาไปสู่การเป็นฐานทุนมนุษย์ที่เป็นเลิศไว้ 3 ส่วน ประกอบด้วย ศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลด้วยความเป็นเลิศ Human Capital Excellence Center (HCEC), แพลตฟอร์มด้านการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ Digital Education Excellence Platform (DEEP) และแผนพัฒนารายบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ Excellence Individual Development Plan (EIDP)

ศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลด้วยความเป็นเลิศ หรือ HCEC เป็นศูนย์รวมในการเพิ่มขีดความสามารถของทุนมนุษย์ที่จัดตั้งขึ้นภายในโรงเรียนและวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักในการช่วยให้ระบบการศึกษาดีขึ้นด้วยการพัฒนาวิชาชีพครู และทำงานร่วมกับวิทยาลัยอาชีวะในการพัฒนาวิชาชีพซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด เป็นศูนย์พัฒนาศักยภาพในเขตพื้นที่การศึกษาที่สอนและจัดอบรมโดยผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชน จึงสามารถพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ตลอดโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางและสิ้นเปลืองงบประมาณ โดยภายในปี 2563 นี้จะมีศูนย์ HCEC ที่มีคุณภาพกระจายในโรงเรียนทุกภูมิภาค 185 ศูนย์ทั่วประเทศไทยและ ในวิทยาลัยอาชีวะ 200 ศูนย์ภายในปี 2564

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ให้รายละเอียดถึง HCEC ว่า “เราเชื่อว่าถ้าครูเก่งจะพัฒนาให้เด็กเก่งได้ HCEC ของ สพฐ. จึงสร้างขึ้นเพื่อพัฒนาครู โดยเปลี่ยนต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดอบรมครูให้เป็นการลงทุนในการพัฒนาศักยภาพครูและนักเรียนแทน ซึ่งเมื่อครูพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาก็จะมีแนวคิดแบบ Growth Mindset และมีความรู้ ใหม่ ๆ ไปปรับใช้กับการจัดรูปแบบการสอนของตัวเองอยู่เสมอ ส่วน HCEC ของอาชีวศึกษา ในตอนต้นสร้างขึ้นเพื่อพัฒนานักเรียนอาชีวะและบุคคลทั่วไป เพื่อเพิ่มทักษะที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดงาน เหมือนเป็นสถานที่สำหรับ Upskill และ Reskill โดยมีจุดเด่นที่การสร้างพันธมิตรระหว่างวิทยาลัยอาชีวะและองค์กรเอกชนที่ต้องการแรงงาน ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ให้มาร่วมกันพัฒนาหลักสูตรเพื่อตอบสนองความต้องการอย่างถูกจุด ทั้งทักษะของบุคลากรและปริมาณแรงงานที่ภาคเอกชนต้องการ เป็นการเรียนกับมืออาชีพเพื่อให้ได้ศักยภาพแรงงานที่เป็นเลิศอย่างแท้จริง”

ส่วนแพลตฟอร์มด้านการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ หรือ DEEP นั้นเป็น Online Platform ในการบริหารจัดการองค์ความรู้ของประเทศ เพื่อให้สามารถจัดการองค์ความรู้ได้ดีมีประสิทธิภาพ พัฒนาคนได้ตรงตามทักษะที่ต้องการตามแต่ละช่วงวัย และสามารถตอบโจทย์สิ่งที่ต้องการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต โดยใน www.deep.go.th จะเชื่อมโยงครู นักเรียน และภาคเอกชนที่มีความรู้เฉพาะทางเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งภาคเอกชนสามารถเพิ่มเติมความรู้เข้าไปในแพลตฟอร์มนี้เพื่อสร้างและพัฒนาคนให้ตรงตามความต้องการได้ ส่วนครู นอกจากการเสริมความรู้พัฒนาตนเองแล้ว ยังสามารถเข้าไปพิจารณา Teaching Resource Platform (TRP) เพื่อนำไปประกอบการเรียนการสอนเพิ่มเติมจากห้องเรียน ด้านนักเรียนหรือผู้ที่ต้องการศึกษาหาความรู้ก็สามารถเรียนออนไลน์ผ่าน DEEP ได้อย่างสะดวก โดยภายในปีนี้กระทรวงศึกษาธิการตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีภาคเอกชนอย่างน้อย 50 รายเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาแพลตฟอร์มการศึกษาใน DEEP และในปี 2564 จะเน้นการเข้าถึงการใช้งานทั่วประเทศอย่างแท้จริง

“ไม่เพียงบทเรียนออนไลน์จากกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น หากเอกชนซึ่งเป็นพันธมิตรอยากมีส่วนร่วมในการยกระดับการศึกษาก็สามารถมาแชร์ข้อมูลการเรียนรู้ผ่าน DEEP ได้เช่นกัน เพื่อให้ตลาดผู้เรียน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน ครู หรือผู้บริหารสถานศึกษากว่า 10 ล้านคนทั่วประเทศได้เห็นเนื้อหาการเรียนรู้ที่น่าสนใจของพวกเขา นอกจากนี้สำหรับ Start-Up หรือเอกชนที่ยังไม่ได้เป็นพันธมิตรของเรา ก็สามารถแบ่งปันคอนเทนต์ใน DEEP ได้เช่นกัน โดยอัปโหลดผ่าน Teaching Resource Platform (TRP) ซึ่งเป็นข้อมูลที่นำเสนอให้ครู 3-4 แสนคนทั่วประเทศได้เข้าไปพิจารณา หากครูให้คะแนนชื่นชอบ (Social Score) ถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คอนเทนต์นั้นก็จะเข้าสู่แพลตฟอร์มหลักของ DEEP ที่นักเรียนทั่วประเทศสามารถเข้าไปดูได้

“ที่สำคัญ DEEP ยังมีการบันทึกข้อมูลรายบุคคลผ่าน ID ที่เปรียบเสมือนเป็น Lifetime Education Profile ของนักเรียนทุกคนที่เข้ามาเรียนรู้ใน www.deep.go.th ซึ่งในอนาคตกระทรวงศึกษาธิการจะเชื่อมโยง ID นี้เข้ากับ HCEC และเว็บไซต์ของพันธมิตรด้วย เพื่อให้ครูและผู้บริหารสถานศึกษานำข้อมูลส่วนนี้ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการประเมินศักยภาพของนักเรียน นอกเหนือจากแค่การสอบเพียงอย่างเดียว รวมถึงใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตัดสินใจว่าจะรับนักเรียนเข้าเรียนต่อในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยหรือไม่ด้วย” หัวเรือใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการอธิบาย

ณัฏฐพล มั่นใจนำพาการศึกษาไทยสู่ยุคใหม่ด้วยการปลดล็อก ปรับเปลี่ยน เปิดกว้าง ยกกำลังสองการศึกษาไทยสู่ความเป็นเลิศ ด้วยแผนภาพอนาคต Thailand Education Eco-System Blueprint

สำหรับ แผนพัฒนารายบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ หรือ EIDP คือแผนพัฒนาความเป็นเลิศที่เปิดโอกาสให้นักเรียน ครู ผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษา สามารถพัฒนาศักยภาพหรือความเป็นเลิศในแบบฉบับของตนเองได้ ซึ่งจะส่งผลให้การศึกษาของไทยในอนาคตเปลี่ยนจากการวัดผลด้วยการทดสอบเป็นการประเมินเพื่อพัฒนาแทน ลดการสอบที่ไม่จำเป็นต่อนักเรียนลง ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตรเพื่อนำไปสู่แผนพัฒนารายบุคคลเพื่อความเป็นเลิศสำหรับปี 2563 และปี 2564 แล้ว โดยนายณัฏฐพลกล่าวเสริมว่า “EIDP เป็นแผนพัฒนานักเรียน ครู และผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนการสอบเพื่อตัดสินเป็นการประเมินเพื่อพัฒนา โดยลดการสอบของนักเรียนลง ลดงานเอกสารของครูลง และเตรียมความพร้อมให้ผู้บริหาร ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ให้กับการศึกษาไทย ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ”

กลไกขับเคลื่อนทั้งหมดที่กล่าวมาจะนำไปสู่ความเป็นเลิศของผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาไทยทั้งระบบ เพราะเมื่อการศึกษากลายเป็นระบบนิเวศโดยสมบูรณ์ ด้วยการเชื่อมต่อผ่าน HCEC, DEEP และเปลี่ยนวิธีการวัดผลด้วย EIDP ทั้งนักเรียน ครู และผู้บริหารสถานศึกษา จะสามารถประสบความสำเร็จได้ในแบบฉบับของตนเอง และจะนำพาให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีฐานทุนมนุษย์ที่เป็นเลิศอย่างแท้จริง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคาดหวังว่าด้วยระบบการศึกษาที่ดี ในระยะสั้นจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถสร้างความเชื่อมั่นและความแตกต่างดึงดูดให้ประเทศต่าง ๆ อยากมาลงทุนมากขึ้น ในระยะกลางทำให้ไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ และในระยะยาวหากเกิดปัญหาหรือสถานการณ์วิกฤตขึ้นประเทศไทยจะมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวและมีความสามารถในการฟื้นตัวได้ดี

“มีคนมากมายบอกผมว่า การศึกษาเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก ต้องใช้เวลา 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี แต่ผมปล่อยให้การศึกษาของประเทศไทยเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เพราะนี่คืออนาคตของลูกหลานเรา ถ้าไม่ลงมือทำวันนี้ ก็มีแต่จะเปลี่ยนยากขึ้น ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องมองการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ การศึกษาที่มีความยืดหยุ่น ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ตอบโจทย์สังคม ตอบโจทย์ตลาด และสุดท้ายทำให้คนทุกคนสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จในแบบฉบับของตนเองได้” นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวย้ำ

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด บีจี ปทุม พบ เมืองทอง ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68