กรมโรงงานอุตสาหกรม ร่วมพิทักษ์ชั้นบรรยากาศ "โอโซน" ด้วย "โครงการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอนในประเทศไทย"
"โอโซน" เป็นก๊าซชนิดหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งจะอยู่หนาแน่นที่สุดในชั้นบรรยากาศสตราโทสเฟียร์ และทำหน้าที่สำคัญในการดูดซับรังสีต่างๆ โดยเฉพาะรังสียูวี-บี
"โอโซน" เป็นก๊าซชนิดหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งจะอยู่หนาแน่นที่สุดในชั้นบรรยากาศสตราโทสเฟียร์ และทำหน้าที่สำคัญในการดูดซับรังสีต่างๆ โดยเฉพาะรังสียูวี-บี เพื่อให้ส่องมายังพื้นโลกในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยลดความร้อนสะสมในบรรยากาศ รักษาระบบนิเวศบนพื้นโลกมิให้ถูกทำลาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง และโรคตาต้อกระจก แต่หลายทศวรรษที่ผ่านมามวลมนุษยชาติกลับมีส่วนสำคัญในการทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน โดยเฉพาะจากกิจกรรมในภาคอุตสาหกรรม ดังนั้นในปี พ.ศ.2524 โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme : UNEP) ได้จัดทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน เรียกว่า อนุสัญญาเวียนนาเพื่อปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซน และมีการร่างข้อกำหนดและมาตรการเพื่อยับยั้งการทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนภายใต้อนุสัญญาเวียนนา ณ เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2530 และได้เรียกข้อกำหนดนี้ว่า พิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน และถือเอาวันที่ 16 กันยายนของทุกปีเป็น "วันโอโซนสากล"
นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกของอนุสัญญาเวียนนา และพิธีสารมอนทรีออล เพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดของพิธีสารมอนทรีออล ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2532 จึงมีผลให้ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของพิธีสารมอนทรีออล ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2532 เป็นต้นมา
กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานให้เป็นไปตามพันธกรณีของพิธีสารมอนทรีออล ได้ดำเนินโครงการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน โดยให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและด้านเทคนิคแก่ภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เช่น ภาคอุตสาหกรรมเครื่องทำความเย็น แบ่งเป็น อุตสาหกรรมผลิตตู้เย็นที่ใช้ในบ้านเรือน ตู้เย็น/ตู้แช่ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ ระบบปรับอากาศรถยนต์ และเครื่องทำน้ำเย็นที่ใช้ในระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ ภาคอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สเปรย์กระป๋อง ภาคอุตสาหกรรมผลิตโฟม ภาคอุตสาหกรรมสารชะล้าง/สารทำละลาย ภาคอุตสาหกรรมสารดับเพลิง ภาคอุตสาหกรรมการรมกำจัดศัตรูพืชในผลิตผลทางการเกษตร เป็นต้น
ในปัจจุบัน กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ดำเนินโครงการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูออโร-คาร์บอน (HCFCs) ระยะที่ 1 มีระยะเวลาการดำเนินงานระหว่างปี พ.ศ. 2557-2561 และได้รับเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากกองทุนพหุภาคีผ่านธนาคารโลก จำนวน 23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีวัตถุประสงค์ เพื่อลดปริมาณการใช้สาร HCFCs ในภาคอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปรับอากาศและภาคอุตสาหกรรมผลิตโฟม โดยให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและด้านเทคนิคในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์/เครื่องจักรในกระบวนการผลิตไปใช้สารทดแทนที่ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน และมีค่าศักยภาพทำให้โลกร้อนต่ำแก่ผู้ประกอบการไทยในภาคอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปรับอากาศ จำนวน 12 ราย และภาคอุตสาหกรรมผลิตโฟม จำนวน 131 ราย
ทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมผลิตเครื่องปรับอากาศ ในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตไปใช้สารทำความเย็น HFC-32 (R-32) และภาคอุตสาหกรรมผลิตโฟมเปลี่ยนไปใช้สารเป่าโฟม HFC-245fa สาร ไซโคลเพนเทน (Cyclopentane) หรือสูตรน้ำ
อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวต่อไปว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรม มีหน้าที่รับผิดชอบในการตรวจสอบและยืนยันสิทธิของผู้ประกอบการ ให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการในการจัดทำข้อเสนอโครงการ พิจารณาแผนการจัดการเครื่องมือ/อุปกรณ์ที่ใช้ สาร HCFCs ตรวจสอบพื้นที่สถานประกอบการในการติดตั้ง การทดสอบระบบการทำงานของเครื่องจักร ตรวจสอบการทำลายเครื่องมืออุปกรณ์เดิม กำกับการดำเนินการโครงการเพื่อให้มั่นใจว่ามีการลดและเลิกใช้สาร HCFCs อย่างยั่งยืน รวมทั้งการดำเนินการอื่น ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน
นอกจากนี้ยังได้มีการออกมาตรการทางกฎหมาย เพื่อสนับสนุนการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโร-ฟลูออโรคาร์บอน (HCFCs) เช่น ประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม เรื่อง แนวทางการอนุญาตนำเข้าสารเอชซีเอฟซี (HCFCs) เพื่อใช้ในประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามโรงงานใช้สาร HCFC-141b (สารไดคลอโรฟลูออโรอีเทน) ในกระบวนการผลิตโฟม พ.ศ. 2560 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใช้สาร HCFC-22 (สารคลอโรไดฟลูออโร-มีเทน) พ.ศ. 2560 เป็นต้น โดยประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมทั้ง 2 ฉบับ ข้างต้นนั้น มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา


