สยามกลการ มองหา partner จากจีน สู่ฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งอาเซียน
การขยายตัวของรถยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทสยามกลการที่เคยจับมือกับ Nissan อย่างเหนียวแน่น เริ่มขยับมาแสวงหาร่วมมือกับบริษัทจากจีน นอกจากเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ยังเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดยานยนต์ไทยอีกด้วย
ที่ผ่านมาประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตรถยนต์รายใหญ่ในเอเชีย เริ่มต้นจาก บริษัท สยามกลการ จำกัด ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับบริษัท Nissan Motors นับตั้งแต่ปี 1962 เป็นต้นมา นำไปสู่การพัฒนาโรงงานผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ บุกเบิกธุรกิจผลิตยานยนต์ สร้างความมั่งคั่งให้แก่บริษัทและเม็ดเงินมหาศาลแก่ประเทศ
อย่างไรก็ตามเทคโนโลยียานยนต์ในปัจจุบันเริ่มนำไปสู่การตั้งคำถาม จากแนวคิดการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจากเครื่องยนต์สันดาปไปสู่พลังงานไฟฟ้า การผลักดันจากนานาชาติแสดงให้เห็นชัดว่านับจากนี้ EV คืออนาคต กระตุ้นความสนใจของตลาดและการลงทุนภายในประเทศให้คึกคัก
นี่เองจึงนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านของบทบาทการลงทุนและตลาดยานยนต์ครั้งใหญ่ภายในประเทศ เมื่อสยามกลการเริ่มมองหาพันธมิตรทางธุรกิจจากจีน ที่จะรุกสู่ตลาดรถ EV ให้มากขึ้น
จากญี่ปุ่นสู่จีน เมื่อรถยนต์สันดาปไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป
คนไทยส่วนมากคุ้นเคยและเติบโตมากับรถญี่ปุ่นแทบทั้งสิ้น จากการเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศจึงสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่าย ประกอบกับโปรโมชั่นของทางบริษัทและนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ นำไปสู่การเติบโตของตลาดรถยนต์ภายในประเทศ เป็นอีกหนึ่งหลักฐานความรุ่งเรืองในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
น่าเสียดายเมื่อเกิดการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีจากน้ำมันไปเป็นพลังงานไฟฟ้า บริษัทยานยนต์ญี่ปุ่นกลับไม่ให้ความสนใจเลือกมุ่งพัฒนาในทางอื่น นั่นทำให้พวกเขาตามหลังบริษัทยานยนต์หลายแห่งที่ทุ่มเทพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ นำไปสู่การสั่นคลอนของตำแหน่งหัวขบวนแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ในที่สุด
ประเทศที่มีความกระตือรือร้นในการเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยเป็นพิเศษคือ จีน บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าหลายแห่งต่างให้ความสนใจตลาดภายในประเทศเป็นจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่คู่ค้าเก่าแก่ดั้งเดิมของญี่ปุ่นอย่างสยามกลการเอง ก็เริ่มมองหาความร่วมมือกับบริษัทจีนด้วยเช่นกัน
บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนที่ให้ความสนใจจนเริ่มเข้ามาทำการตลาดภายในไทยมีอยู่หลายเจ้า ตั้งแต่ BYD Auto, SAIC Motor, Great wall motor ฯลฯ โดยBYD จับมือเป็นพันธมิตรกับ Rever Automotive ลงทุนจัดตั้งโรงงานใหม่และกำลังจะเริ่มเปิดดำเนินการเป็นครั้งแรกภายในปี 2024
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเดิมทีไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการผลิตและส่งออกอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างต่อเนื่อง นั่นทำให้จีนพุ่งเป้ามองไทยเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางการผลิตเพื่อตอบสนองต่อการขยายตัวของตลาด เพื่อรับมือและแข่งขันการขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปและสหรัฐฯที่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากรัฐบาลต่อไป
การขยายตัวของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกระบุว่า ในปี 2022 จำนวนรถที่จดทะเบียนในประเทศไทยมีอยู่ราว 580,000 คัน ในจำนวนนี้มีอัตราส่วนรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ประมาณ 1% เท่านั้น แต่ข้อมูลจากเดือนมกราคม – เมษายน 2023 ที่ผ่านมา กลับพบว่าสัดส่วนการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งไปถึง 6% เลยทีเดียว
สามบริษัทที่มียอดขายสูงสุดในช่วงเดือนมกราคม 2022 - เมษายน 2023 คือ BYD Auto, SAIC Motor และ Great wall motor ล้วนเป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนที่มียอดขายกับยอดขายหลายพันคัน ถัดมาคือ Tesla ที่มีจำนวนอยู่ที่ 3,220 คัน ในขณะที่บริษัทญี่ปุ่นอย่าง Nissan motor สามารถทำยอดจดทะเบียนได้เพียง 147 คันเท่านั้น
ความสำเร็จในส่วนนี้เกิดขึ้นจากการสนับสนุนในหลายภาคส่วน ทั้งการสนับสนุนจัดตั้งโรงงานประกอบ EV ภายในประเทศ, การพัฒนาโรงงานผลิตแบตเตอรี่รูปแบบต่างๆ ไปจนการจัดตั้งสถานีชาร์จเพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มในการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีการผลักดันจากภาครัฐ ปัจจุบันประเทศไทยตั้งเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านการจดทะเบียนรถยนต์ใหม่จากรถยนต์สันดาปเป็นรถยนต์ไฟฟ้าใหได้ 30% ต่อปี ภายในปี 2030 อีกทั้งยังตั้งใจการเปลี่ยนผ่านมาสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค และเริ่มมุ่งหน้าลงทุนเพื่อรองรับส่วนนั้นอย่างจริงจัง
ปัจจุบันไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุนจีนในการตั้งฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า มีการสนับสนุจากภาครัฐออกนโยบายสอดคล้องจากการลดอัตราภาษีนำเข้าตามเงื่อนไข รวมถึงลดหย่อนภาษีในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนในระยะยาว และสร้างความแข็งแรงให้ตลาดการผลิต EV โดยรวมต่อไป
นี่เป็นเพียงก้าวแรกในการขยายอุตสาหกรรมการผลิต EV ในไทย แต่ต้องยอมรับว่าบริษัทยานยนต์จีนได้เปรียบในตลาดมากกว่าบริษัทญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยี ความสนใจ และการตื่นตัวในการลงทุน จึงเป็นไปได้สูงว่า ในอนาคตญี่ปุ่นอาจสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดยานยนต์ไปอีกมาก
แต่เป็นที่แน่นอนว่าตลาดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังสามารถเติบโตได้ยิ่งกว่านี้ในอนาคต
ที่มา


