เรือเหาะพลังไฟฟ้า สู่อากาศยานไร้มลพิษ
หลายท่านอาจรู้จักหรือเคยเห็นเรือเหาะกันตามงานเทศกาล โฆษณา หรือในสื่อประเภทต่างๆ มาบ้าง แต่ทราบหรือไม่ว่าครั้งหนึ่งเรือเหาะเคยเป็นเส้นทางคมนาคมทางอากาศหลักก่อนเสื่อมความนิยมไป รวมถึงการเริ่มกลับมามีบทบาทอีกครั้งในปัจจุบัน แต่จะเป็นในแง่ใดคงต้องไปดูกัน
การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดถือเป็นหมุดหมายสำคัญทั่วโลก ทุกชาติต่างกำหนดเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมที่เคยสร้างผลกำไรมหาศาล และจะได้รับผลกระทบรุนแรงอย่างธุรกิจสายการบินที่ยังไม่ฟื้นตัวจากวิกฤติโรคระบาด
การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในแวดวงธุรกิจนี้ถือเป็นเรื่องหิน เมื่อในปัจจุบันเทคโนโลยีพลังงานสะอาดยังไม่รองรับแวดวงการบินมากพอเป็นเรื่องน่าปวดหัวไปตามกัน นั่นทำให้บางบริษัทเริ่มเกิดแนวคิดขุดเอาอีกหนึ่งยานพาหนะที่เคยโด่งดังในอดีตอย่าง เรือเหาะ ขึ้นมาใช้งานทดแทนเครื่องบินในปัจจุบัน
แต่คงต้องขยายความเรื่องเรือเหาะสักนิด ด้วยหลายท่านอาจยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับมันเท่าไหร่
เรือเหาะ จ้าวเวหาในอดีต
ทุกวันนี้เราต่างคุ้นเคยกับน่านฟ้าที่เต็มไปด้วยยานพาหนะล้ำสมัยนานาชนิด ตั้งแต่เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ จรวด จนถึงกระสวยอวกาศ แม้แต่อุปกรณ์ขนาดเล็กอย่างโดรนยังเริ่มทยอยออกมาใช้งานให้เห็นกันทั่วไป กลายเป็นภาพชินตาในปัจจุบัน
แต่ทราบหรือไม่ว่าถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สักร้อยปี จ้าวแห่งน่านฟ้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือเรือเหาะ เทคโนโลยีการบินที่อาศัยการอัดแก๊สที่มีน้ำหนักน้อยกว่าอากาศเข้าไปในบอลลูน ใช้การประคองแก๊สชนิดนี้ไว้ในวัสดุจากนั้นจึงนำมาเป็นแรงขับเคลื่อน นับเป็นหลักการเข้าใจง่ายที่เราพบเห็นได้ทั่วไปจากลูกโป่งลอยฟ้า
เมื่อไล่ย้อนกลับไปในอดีตความสำเร็จในการนำบอลลูนไอร้อนขึ้นบินได้สำเร็จตั้งแต่ปี 1783 ในเมืองอันโนเน ฝรั่งเศส แต่ผู้ที่ทำให้เรือเหาะออกมาเป็นจริงคือ Count Ferdinand von Zeppelin ทำการจดสิทธิบัตรจนสร้างเรือเหาะมีโครงขึ้นมาได้สำเร็จ และออกบินครั้งแรกวันที่ 2 กรกฎาคม 1900 จน Zeppelin ถูกนำไปใช้เป็นชื่อเรียกเรือเหาะในที่สุด
ประเทศแรกที่เล็งเห็นประโยชน์ของเรือเหาะจนเริ่มนำมาใช้เป็นสายการบินจริงคือ เยอรมนี ทำให้เรือเหาะถูกนำไปใช้เป็นสายการบินเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในปี 1910 ทั้งในด้านการขนส่งสินค้าที่สะดวก รวดเร็ว และบรรทุกได้มากกว่าทางเรือ(ในสมัยนั้น) อีกทั้งในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังนำมาใช้งานแพร่หลายในเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งในด้านโจมตี สอดแนม หรือขนส่ง
ดังนั้นจะบอกว่าเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้วในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ถือเป็นยุคทองของเรือเหาะก็คงได้
จุดจบของยุคสมัยแห่งเรือเหาะ โศกนาฎกรรมฮินเดนเบิร์ก
หลายท่านอาจสงสัยในเมื่อเรือเหาะในยุคก่อนเฟื่องฟูกลายเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งทางอากาศ ได้รับความนิยมจากหลายภาคส่วน ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเราจึงไม่นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาพัฒนาต่อยอด แต่กลับมาใช้งานยานพาหนะที่มาทีหลังอย่างเครื่องบิน?
ส่วนนี้คงต้องบอกว่าเพราะแรงสั่นสะเทือนจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ทำให้เรือบินสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้ามหาศาล
ย้อนกลับไปในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แม้จะเริ่มมีเครื่องบินเข้ามาแต่เรือเหาะยังได้รับความนิยม จากความหรูหราสะดวกสบายที่ให้บริการแก่ผู้โดยสาร บางส่วนจึงเริ่มมีการจัดเที่ยวบินเรือเหาะสำหรับการท่องเที่ยว ถึงขั้นใช้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้ในเวลาเพียง 43 ชั่วโมง
หนึ่งในเรือเหาะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ LZ 129 Hindenburg นับเป็นอากาศยานลำใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ จากความยาวมากกว่า 803 ฟุต เต็มไปด้วยความหรูหราสะดวกสบายระหว่างการเดินทาง ตกแต่งด้วยเครื่องใช้ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นพร้อมค่าโดยสารแพงระยับ แต่เรือเหาะก็ได้รับความนิยมแพร่หลายจนเดินทางมากกว่า 308,323 กิโลเมตรในหนึ่งปี
แต่ในเดือนพฤษภาคม 1937 เกิดอุบัติเหตุเมื่อระหว่างการลงจอด ทำให้เรือเหาะฮินเดนเบิร์กเกิดติดไฟกลางอากาศจนนำไปสู่การระเบิดขนาดใหญ่ ทำให้เกิดผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนถึง 36 ราย เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนได้ตระหนักถึงจุดอ่อนสำคัญของเรือเหาะขึ้นมาอีกครั้ง
นั่นคือพื้นฐานของเรือเหาะมาจากบอลลูน จำเป็นต้องบรรจุแก๊สที่มีน้ำหนักเบากว่าอากาศเพื่อลอยกลางอากาศ เช่น ไฮโดรเจน แต่แก๊สชนิดนี้มีคุณสมบัติในการติดไฟง่าย นั่นทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันหรือประกายไฟ เรือเหาะจึงกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ แม้ทางบริษัทผู้ผลิตจะมีการวางระบบรักษาความปลอดภัย แต่โศกนาฎกรรมฮินเดนเบิร์กก็ทำให้ผู้คนเริ่มหวาดกลัวจึงหันไปหาอุตสาหกรรมเครื่องบิน จนเรือเหาะต้องยุติโครงการไปในที่สุด
ปัจจุบันเรือเหาะถูกใช้ในการตรวจตราเฝ้าระวังพื้นที่ของบางประเทศ รวมถึงใช้ในการโฆษณาเชิงพาณิชย์เท่านั้น
แต่ทุกอย่างอาจเปลี่ยนไปเมื่อมีการหยิบเรือเหาะมาปัดฝุ่นเตรียมพร้อมในการใช้งานอีกครั้ง
เรือเหาะรุ่นใหม่ การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
แนวคิดนี้มาจากสายการบินให้บริการเที่ยวบินในประเทศของสเปน Air Nostrum สั่งซื้อเรือเหาะ Airlander 10 โดยมีจุดเด่นตรงเป็นเรือเหาะไฮบริดขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและก๊าซฮีเลียม เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงกว่า 90% จากบริษัท Hybrid Air Vehicles (HAV) ในอังกฤษ มีกำหนดส่งมอบภายในปี 2026
เรือเหาะลำนี้สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ราว 100 คน มีระยะทำการ 300 – 400 กิโลเมตร กับความเร็วสูงสุดได้ราว 129 กิโลเมตร/ชั่วโมง แน่นอนว่านี่เป็นความเร็วที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับเครื่องบินโดยสารยุคนี้ ด้วยระดับความเร็ว 804 กิโลเมตร/ชั่วโมง
จากการศึกษาแม้ระยะทำการของเรือเหาะไม่ได้มากแต่เพียงพอให้ใช้เส้นทางระยะสั้นข้ามประเทศ และไม่จำเป็นต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานรองรับมากนัก ความต้องการพื้นที่สำหรับลงจอดน้อยกว่าจึงสามารถเข้าถึงพื้นที่ตัวเมืองได้ง่าย เพิ่มความสะดวกและคล่องตัวให้แก่ผู้โดยสารที่ต้องการใช้อากาศยานมากขึ้น ประหยัดเวลาในการเดินทางไปสนามบิน
และส่วนสำคัญคือ คุณสมบัติในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่น้อยลงมากเมื่อเทียบกับเที่ยวบินทั่วไป นั่นจะทำให้สายการบินสามารถบรรลุเป้าหมายลดอัตราการปล่อยมลพิษสู่ชั้นบรรยากาศลง เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย Fit for 55 ที่ให้บริษัทพลังงาน อุตสาหกรรมการผลิต และสายการบินทั้งหมดในยุโรปลดการปล่อยคาร์บอน 55% ภายในปี 2030
สาเหตุที่ทำให้สายการบินเริ่มหันกลับมาหาเรือเหาะคือ ปัจจุบันสายการบินถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ปล่อยมลพิษปริมาณสูงแต่ยังไม่มีทางแก้ไขเป็นรูปธรรม เนื่องด้วยเครื่องบินพลังงานไฟฟ้าในปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา แม้จะเริ่มทยอยเปิดตัว แต่ล่าสุดจำนวนผู้โดยสารที่บรรทุกได้ยังไม่เพียงพอ จึงยังไม่สามารถนำมาแทนที่เครื่องบินเดิมได้
นั่นทำให้ของยุคเก่าอย่างเรือเหาะกลายเป็นตัวเลือกน่าสนใจสำหรับเที่ยวบินระยะไม่ไกลนักเพื่อใช้ในการสัญจร
ปัจจุบันบริษัทที่หันกลับมาให้ความสนใจเทคโนโลยีเรือเหาะไม่ได้มีเพียงเจ้าเดียว บริษัท H2 Clipper จากแคลิฟอเนียที่แสดงความสนใจฟื้นฟูเส้นทางการบินของเรือเหาะเพื่อขนส่งสินค้า เพราะค่าใช้จ่ายในการขนส่งผ่านเรือเหาะถูกกว่าการขนส่งผ่านเครื่องบินถึงสี่เท่าเลยทีเดียว
แน่นอนว่าตอนนี้เรายังไม่อาจชี้ชัดได้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ถูกต้องหรือไม่ เรือเหาะจะถูกผลักดันขึ้นมาใช้งานมากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ใจคือการกลับมาครั้งนี้ไม่มีทางเฟื่องฟูเหมือนเก่า เพราะต่อให้พัฒนาเพียงไรเรือเหาะก็ยังยากจะเทียบกับเครื่องบินหรืออากาศยานนานาชนิด ทั้งในแง่ความเร็วหรือขีดความสามารถในการขนส่งก็ตาม
แต่จนกว่าเครื่องบินไฟฟ้าจะได้รับการพัฒนาให้ออกมาเทียบเท่าเครื่องบินรุ่นเก่า เรือเหาะอาจขยายบทบาทเข้ามาทดแทนส่วนที่เครื่องบินไม่สามารถทำได้อีกพักใหญ่ ที่เหลือก็ขึ้นกับว่าภายใต้การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี เรือเหาะจะทำให้ผู้คนเห็นคุณค่าจนกลับมาใช้งานได้แค่ไหน
ไม่แน่ว่าบางทีการขนส่งทางอากาศรุ่นต่อไป เรือเหาะอาจเข้ามาแทนที่ด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าก็เป็นได้
ที่มา
https://www.thoughtco.com/history-of-airships-and-balloons-1991241
https://petmaya.com/zeppelin-inside-story
https://www.silpa-mag.com/history/article_86541
https://www.sdgmove.com/2021/07/22/fit-for-55-climate-change-package-europe/
https://www.thairath.co.th/news/foreign/2307472
https://interestingengineering.com/zeppelin-spanish-airline-low-emission-airships


