posttoday

‘ธนาคารทรัพยากรชีวภาพ’ พื้นที่ปลอดภัยของบรรดาสิ่งมีชีวิต

14 มิถุนายน 2565

แม้ว่าในประเทศไทยจะเป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางธรรมชาติอยู่มาก แต่อัตราการสูญพันธุ์นั้นมหาศาลยิ่งกว่า ‘ธนาคารทรัพยากรชีวภาพ’ จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อรับบทเป็นดั่งตู้เซฟนิรภัยให้กับสิ่งมีชีวิต

          หากจะตั้งคำถามว่าประเทศใดในโลกที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุด ‘ไทย’ ถือได้ว่าเป็นประเทศที่ต้องติด 1 ในลิสต์อย่างแน่นอน และหากอ้างอิงจากกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกันแล้ว เรายังอยู่ในอันดับ 3  เนื่องจากในประเทศเรามีสิ่งมีชีวิตราวร้อยละ 10 ของสิ่งมีชีวิตที่พบบนโลก และอุดมไปด้วยพืชนานาพันธุ์ว่า 20,000 ชนิด แม้จะมีการค้นพบสิ่งมีชีวิตใหม่อยู่เรื่อยๆ แต่ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา อัตราการสูญเสียนั้นทวีคูณยิ่งกว่า

          ด้วยเหตุนี้ ‘ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ’ โดยสวทช. จึงยื่นมือเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้รักษา ‘ความมั่นคงทางชีวภาพของชาติ’ 

‘ธนาคารทรัพยากรชีวภาพ’ พื้นที่ปลอดภัยของบรรดาสิ่งมีชีวิต

ที่มาของธนาคารทรัพยากรชีวภาพ

          ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ด้วยความที่ไทยเราเองมีจุดแข็งด้านความหลากหลายทางชีวภาพอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นพันธุ์พืช สัตว์ หรือจุลินทรีย์ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่นำไปต่อยอดเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ แม้เราจะเปี่ยมไปด้วยความสมบูรณ์จากธรรมชาติเหล่านี้ แต่ต้องยอมรับว่ายังไงเสียสักวันหนึ่งย่อมต้องมีวันสูญเสียไป

          โครงการ ‘Big Rock’ ที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพจึงได้ถือกำเนิดขึ้น ด้วยงบสนับสนุนกว่า 800 ล้านบาทจากรัฐบาล โดยไบโอเทค (ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ) จะเป็นหน่วยงานหลักในการจัดหาครุภัณฑ์ที่สำคัญเพื่อจัดเก็บ ‘ไบโอแบงก์ (Biobank)’ หรือทรัพยากรชีวภาพ

          ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติหรือไบโอแบงก์เป็นโครงสร้างสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพที่มีชีวิตแบบระยะยาว (Long-term Conservation) ซึ่งจะประกอบไปด้วยทั้งวัสดุชีวภาพ และข้อมูลทางชีวภาพ ที่จัดเก็บไว้นอกสภาพธรรมชาติตามมาตรฐานสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยจัดการ ควบคุมคุณภาพ จนสามารถใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมและชุมชนได้อย่างยั่งยืน 

 

 

‘ธนาคารทรัพยากรชีวภาพ’ พื้นที่ปลอดภัยของบรรดาสิ่งมีชีวิต

หลักเกณฑ์การรับฝาก

          การจัดเก็บตัวอย่างชีวภาพหรือหลักเกณฑ์รับฝากนั้นมีหลายรูปแบบด้วยกัน ในส่วนของพืชอาจต้องอาศัยการจัดเก็บเมล็ดพันธุ์ เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แช่แข็งเซลล์ตัวอ่อน หรือจัดเก็บตัวอย่างแบบแห้ง หรือในส่วนการจัดเก็บจุลินทรีย์ ก็มีวิธีที่สามารถทำได้หลากหลายเช่นเดียวกัน สิ่งสำคัญคือต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ

          อย่างไรก็ตาม หน้าที่หลักของไบโอแบงก์คือสนับสนุนการจัดเก็บความหลากหลายทางธรรมชาติเหล่านี้ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยจากกระบวนการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างความมั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตจะสามารถอยู่นอกสภาพธรรมชาติได้ในระยะยาว ในขณะที่หน่วยงานของภาครัฐ อย่าง กรมป่าไม้หรือกรมอุทยานแห่งชาติ มีหน้าที่ในส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพเหล่านี้ให้อยู่ในสภาพธรรมชาติ เรียกได้ว่าเป็นการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานรัฐเลยทีเดียว

          ข้อมูลที่ทางไบโอแบงก์ได้จัดเก็บไปแล้วในปัจจุบัน ประกอบไปด้วยพืชและจุลินทรีย์กว่า 200 สปีชีส์ เกือบ 2,000 สายพันธุ์ ประกอบไปด้วย 2 กลุ่มใหญ่คือ สปีชีส์ที่อยู่ในกลุ่มใกล้สูญพันธุ์และสปีชีส์ที่มีการปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งการจัดเก็บโดยใช้วิธีนี้จะส่งผลดีต่อทั้งการอนุรักษ์พันธุ์ดั้งเดิมและพันธุ์ที่สามารถสร้างความหลากหบายทางชีวภาพได้ ทำให้ทรัพยากรของไทยได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆ

          ตัวอย่างชีวภาพที่ถูกฝากเข้าธนาคาร จะไม่มีการนำออกมาใช้ นอกเสียจากว่ามีความจำเป็นต่อการฟื้นฟูประเทศเท่านั้น

‘ธนาคารทรัพยากรชีวภาพ’ พื้นที่ปลอดภัยของบรรดาสิ่งมีชีวิต

การต่อยอดด้านชีวภาพ ความสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม

          ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติยังได้เข้าร่วมโครงการวิจัยโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะ ว่าด้วยการศึกษาเห็ดหลินจือ ซึ่งปัจจุบันในไทยมีเห็ดหลินจือมากถึง 14 ชนิด 140 สายพันธุ์ และแน่นอนว่าแต่ละชนิดย่อมมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป หนึ่งในความพิเศษเลยที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงคือ เห็ดจะกลายมาเป็นวัสดุสุดล้ำแห่งอนาคต

          ในต่างประเทศนอกจากอาหารจากเส้นใยเห็ดแล้ว การนำเทคโนโลยีชีวภาพเข้ามาร่วมพัฒนา ‘เห็ด’ จึงสามารถเป็นได้มากกว่าแค่อาหาร เพราะด้วยการเพาะปลูกที่ง่ายดาย เพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็ว เห็ดจึงเป็นหนึ่งในวัสดุที่สามารถนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างหลากหลาย

‘ธนาคารทรัพยากรชีวภาพ’ พื้นที่ปลอดภัยของบรรดาสิ่งมีชีวิต

          ปัจจุบันเส้นใยเห็ดถูกพัฒนาไปถึงขั้นเป็นวัสดุก่อสร้างอย่าง อิฐจากเส้นใยเห็ดหลินจือที่มีคุณสมบัติทนน้ำทนไฟได้ แถมยังยับยั้งจุลชีพอื่นๆได้ เพราะมีคุณสมบัติเหมือนกับเปลือกกุ้ง หรือสายหนังนาฬิกาจากเห็ดหลินจือ และวัสดุกันกระแทกจากเห็ดหลินจือที่แค่ปล่อยทิ้งไว้แล้วรดน้ำ ก็เติบโตกลายเป็นอาหารให้เรารับประทานต่อได้

          "ในยุคเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio-Circular-Green Economy) เราต้องเลิกมองเห็ดเป็นเพียงอาหารและมีประโยชน์มากกว่าทางการแพทย์แล้ว ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการรู้จักและเข้าใจชีววิทยาของสิ่งมีชีวิตนั้น จึงจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง สร้างคุณมหาศาลแก่ชาติและโลกใบนี้" หัวหน้าทีมวิจัยเห็ด กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวล่าสุด

"แก๊งคอลเซ็นเตอร์" อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ยังระบาดหนัก!