posttoday

Next to know – การรักษาหายที่ไม่หาย เมื่อเชื้ออีโบลาสามารถเข้าไปซ่อนในสมอง

19 พฤษภาคม 2565

อีโบลา หนึ่งในเชื้อไวรัสจากแอฟริกาที่เคยระบาดหนัก จนองค์กรอนามัยโลกต้องจับตาเฝ้าระวังด้วยอัตราการเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ล่าสุดมีการตรวจพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาหายสามารถกลับมาแพร่เชื้อและเจ็บป่วยได้ จากเชื้อที่หนีไปซ่อนตัวในโพรงสมอง

 

          ก่อนหน้าโควิดจะกลายเป็นโรคระบาดอันดับหนึ่งที่ทั่วโลกต้องรู้จัก ก่อนหน้านี้ล้วนมีเชื้อไวรัสแพร่ระบาดในโลกมาแล้วหลายชนิด หนึ่งในนั้นคือ อีโบลา โรคระบาดร้ายแรงที่มีอัตราเสียชีวิตสูงมากกว่าเชื้อไวรัสอื่นหลายเท่า ทำให้องค์กรอนามัยโลก(WHO)ประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ อาศัยความร่วมมือจากนานาชาติเพื่อหาทางยับยั้งการแพร่ระบาดนี้โดยเร็ว

 

          โชคดีการระบาดของเชื้อไม่ได้ร้ายแรงโดยมากจำกัดอยู่ภายในทวีปแอฟริกา ทำให้ไม่เกิดการกระจายตัวเป็นวงกว้าง อีกทั้งอัตราการติดต่อยังไม่เทียบเท่าโควิด เราจึงไม่ต้องรับมือกับโรคระบาดร้ายที่มีอัตราเสียชีวิตสูงแพร่กระกระจายไปทั่วโลกจนเกิดการกลายพันธุ์ขึ้นมา

 

          แต่นั่นไม่ได้หมายว่าภัยคุกคามจากโรคนี้จะหมดไปเมื่องานวิจัยใหม่พบว่า เชื้ออีโบล่าสามารถกลับมากำเริบซ้ำได้โดยไม่ต้องติดเชื้อใหม่ เพราะไวรัสสามารถเข้าไปหลบในเนื้อเยื่อสมอง นั่นอาจทำให้เราเปลี่ยนมุมมองและทิศทางการรับมือเชื้อนับจากนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้อีโบลาร้ายแรงไปกว่านี้

 

          แต่ก่อนอื่นคงต้องพูดถึงเสียก่อนว่าโรคอีโบลาคืออะไรและร้ายแรงแค่ไหน


Next to know – การรักษาหายที่ไม่หาย เมื่อเชื้ออีโบลาสามารถเข้าไปซ่อนในสมอง

 

ไวรัสอีโบลา ไข้เลือดออกมรณะจากแอฟริกา

          โรคอีโบลา เกิดจากเชื้อ Ebola virus มีคุณสมบัติให้เกิดโรคไข้เลือดออกชนิดร้ายแรงถึงตาย สัตว์ที่นำเชื้อนี้มาสู่มนุษย์ได้แก่ลิง กอริล่า และชิมแปนซี สามารถแพร่ระบาดเป็นวงกว้างได้ในหมู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยไม่จำเป็นต้องมีแมลงหรือยุงเป็นพาหะแบบไข้เลือดออกทั่วไป

 

          การแพร่กระจายของเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาหลังจากผู้ป่วยแสดงอาการเท่านั้น ผ่านช่องทางสารคัดหลั่งชนิดต่างๆ ทั้งเลือด, น้ำลาย, น้ำเหลือง, เหงื่อ, ปัสสาวะ, อาเจียน, น้ำอสุจิ ไปจนร่างของผู้เสียชีวิต ปัจจุบันยังไม่พบการแพร่กระจายทางอากาศ ความเสี่ยงในการติดเชื้อจึงมีเพียงการเข้าใกล้หรือสัมผัสกับผู้ป่วยโดยไม่ทันระวังเป็นหลัก

 

          อีโบล่าไม่ใช่โรคอุบัติใหม่แบบโควิดหรือซาร์สที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้วแพร่ระบาดเป็นวงกว้างทันที เชื้อชนิดนี้ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 1976 พื้นที่แรกที่ค้นพบคือหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน สาธารณรัฐคองโก เป็นที่มาชื่อ อีโบลา จากชื่อแม่น้ำใกล้กับหมู่บ้านที่เกิดการแพร่ระบาดเป็นครั้งแรก

 

          การแพร่ระบาดอีโบลาครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในปี 2014 – 2016 ถือเป็นการแพร่ระบาดรุนแรง ครอบคลุมตั้งแต่กินี, เซียร์ลาริโอน จนถึงไลบีเรีย จำนวนผู้ติดเชื้อได้รับการยืนยันรวมทั้งสิ้น 3,707 คน เสียชีวิตไปถึง 1,848 ราย ทำให้การแพร่ระบาดของโรคนี้ถูกยกให้เป็นวิกฤติทางสาธารณสุขที่จำเป็นต้องเฝ้าระวังจากองค์กรอนามัยโลก

 

          นอกจากนี้อีโบล่ายังเคยเกิดการรระบาดมาแล้วทั้งใน กาบอน, มาลี, อูกานดา, โกตดิวัวร์ จนถึงไนจีเรีย จัดเป็นโรคระบาดร้ายแรงชนิดหนึ่งของทวีปแอฟริกา จำเป็นต้องได้รับการเฝ้าระวังและจำกัดควบคุมจากนานาชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดวงกว้างนำไปสู่การกลายพันธุ์เป็นโรคร้ายแรงชนิดใหม่
Next to know – การรักษาหายที่ไม่หาย เมื่อเชื้ออีโบลาสามารถเข้าไปซ่อนในสมอง

 

หนึ่งในโรคติดต่อที่มีอัตราเสียชีวิตสูงสุดในโลก

          ระยะฟักตัวของเชื้ออีโบลาครอบคลุมตั้งแต่ 2 – 21 วัน แต่โดยเฉลี่ยหลังได้รับเชื้อจะเริ่มแสดงอาการใน 8 – 10 วัน โดยมีอาการเริ่มต้นคือ มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว ตาแดง และผื่นขึ้นตามตัว จากนั้นจะเริ่มมีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ นำไปสู่ภาวะความดันโลหิตต่ำ ตับถูกทำลาย อาการทางระบบประสาท จนเกิดการช็อกจากอวัยวะภายในล้มเหลวในที่สุด

 

          ความน่ากลัวของอีโบล่าคืออัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อ เมื่อผู้ติดเชื้อแสดงอาการ โอกาสในการเสียชีวิตโดยเฉลี่ยมากถึง 50% หลายครั้งเมื่อเกิดการแพร่ระบาดอัตราผู้เสียชีวิตมักพุ่งสูง ร้ายแรงสุดคือผู้ติดเชื้อเสียชีวิตไปกว่า 90% จากทั้งหมด นับเป็นอัตราการเสียชีวิตของจากการติดเชื้อที่สูงจนน่ากลัว

 

          อาจมีข้อโต้เถียงว่าสาเหตุที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะพื้นที่การแพร่ระบาดเองก็เป็นปัญหา ต้นตอการแพร่ระบาดอีโบลาอย่างทวีปแอฟริกาถือเป็นดินแดนที่คุณภาพชีวิตผู้คนไม่ดีนัก เช่นเดียวกับระบบสาธารณสุขค่อนล้าหลัง เป็นหนึ่งในสาเหตุให้อัตราการเสียชีวิตจากโรคระบาดสูงกว่าที่ควรเป็น

 

          แต่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าอีโบล่าถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรง จากการที่องค์กรอนามัยโลกทำการเฝ้าระวังนานนับปี ทั่วโลกพากันจับตาและคัดกรองเข้มงวด แม้แต่ในประเทศไทยก็จัดเป็นโรคติดต่ออันตราย เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ จะต้องแจ้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อภายใน 3 ชั่วโมง ผ่านทางกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

 

          อีกทั้งจนปัจจุบันเชื้ออีโบลาก็ยังไม่มีวิธีรักษารับมือจำเพาะเจาะจง ทำได้เพียงการรักษาประคับประคองตามอาการ อาศัยยาลดไข้แก้ปวดรักษาโดยหลีกเลี่ยงชนิดที่ทำให้เลือดออก ยังไม่มีการผลิตวัคซีนหรือยาต้านไวรัสโดยตรงออกมา นี่จึงถือเป็นโรคระบาดร้ายแรงที่ยังไม่มีทางรักษา


Next to know – การรักษาหายที่ไม่หาย เมื่อเชื้ออีโบลาสามารถเข้าไปซ่อนในสมอง

 

 

ความน่ากลัวรูปแบบใหม่ เมื่อเชื้อไม่ได้ถูกกำจัดไปหมดสิ้นแต่แฝงตัวในสมอง

           รายงานฉบับล่าสุดถูกตีพิมพ์ในวารสาร Science Translational Medicine โดยเริ่มจากข้อสงสัยเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้ออีโบล่าครั้งใหม่ช่วงปี 2021 ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ติดเชื้อรอบใหม่มีส่วนเชื่อมโยงกับผู้ติดเชื้ออีโบลาจากการระบาดในช่วงปี 2014 – 2017 นำไปสู่ข้อสงสัยว่าเชื้อนี้อาจไม่ถูกขจัดไปจากร่างผู้ป่วย

 

         ความทนทานและคงสภาพยาวนานของอีโบลาคือเรื่องที่ได้การยอมรับมายาวนาน เคยมีกรณีผู้ป่วยชายหลังได้รับการรักษาจนหายดีก็ยังสามารถแพร่เชื้อผ่านสารคัดหลั่งในร่างกายได้นาน 7 สัปดาห์จนถึง 2 เดือน โดยมีการตรวจพบเชื้ออีโบลาในน้ำอสุจิของผู้ป่วยแม้ผ่านไปกว่า 61 วัน จึงถูกยกให้เป็นเชื้อที่ขจัดออกจากร่างกายได้ยากชนิดหนึ่ง

 

          ข้อสงสัยนี้นำไปสู่การตรวจสอบลิงที่เคยติดเชื้ออีโบล่าและได้รับการรักษาด้วยวิธี Monoclonal Antibody ถือเป็นการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน โดยกลิงกลุ่มนี้ผ่านการตรวจเลือดยืนยันว่าไม่พบเชื้ออีโบลาตกค้าง ก่อนพบว่าในลิงจำนวน 36 ตัว มีอยู่ 20% ที่ยังคงมีเชื้ออีโบล่าอยู่ภายในร่างกายแม้ได้รับการรักษาจนหายดี โดยเชื้อหลบซ่อนอยู่ใน โพรงสมอง

 

          โพรงสมองถือเป็นอีกส่วนที่มีความสำคัญยิ่ง เป็นช่องภายในสมองที่อยู่ของน้ำเลี้ยงไขสันหลังเพื่อไหลเวียนคอยหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง นำของเสียส่งผ่านไปสู่หลอดเลือดดำ อีกทั้งคอยป้องกันการกระทบกระเทือนต่อทั้งสองส่วนไม่ให้ได้รับอันตราย

 

          นอกจากเชื้อจะสามารถหลบซ่อนนำไปสู่การแพร่ระบาดเพิ่มเติม ในจำนวนลิงที่ได้รับการศึกษามี 2 ตัวที่เชื้อตกค้างในร่างกายเริ่มเกิดอาการป่วย พัฒนาไปเป็นอาการของอีโบลา ก่อนเสียชีวิตในเวลาไม่นานนับจากนั้น ถือเป็นข้อยืนยันว่าต่อให้ผู้ป่วยหายดีเชื้อก็ยังสามารถหลบซ่อนภายในสมอง และพร้อมจะกลับมาแพร่กระจายเพื่อให้เกิดการติดเชื้อซ้ำได้ในภายหลัง

 

          สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นข้อยืนยันว่าหนทางการรักษาในปัจจุบันกลายเป็นช่องว่างให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ รวมถึงเป็นต้นตอการแพร่ระบาดต่อได้ ถือเป็นการค้นพบใหม่ที่มีความสำคัญและจำเป็นต้องตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากไหน? เป็นเพราะวิธีการทำรักษาแบบ Monoclonal Antibody หรือไม่? เช่นเดียวกับสารคัดหลั่งส่วนอื่นที่ต้องเฝ้าระวังไม่แพ้กัน

 

          อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตามมาหลังจากนี้คือ การเพิ่มความเข้มงวดในการติดตามข้อมูลของผู้ป่วยอีโบลา เมื่อจากนี้ผู้ป่วยที่เคยได้รับการรักษาล้วนมีความเสี่ยงเกิดการติดเชื้อซ้ำรวมถึงอาจทำให้เกิดการแพร่ระบาด แต่จำเป็นต้องกระทำอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการตีตราหรือรังเกียจผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายดี

 

          ปัจจุบันเรายังไม่อาจทราบว่าการติดเชื้ออีโบลาทิ้งผลกระทบในร่างกายไว้ขนาดไหน หรือสามารถเข้าไปหลบซ่อนตามส่วนใดของร่างกายได้บ้าง จำเป็นต้องได้รับการศึกษา ตรวจสอบ จนถึงวิเคราะห์โดยละเอียดเพื่อให้ทราบข้อมูลในเชิงลึก เราจะได้หาทางรับมือได้ครอบคลุมรอบด้านมากขึ้น คอยป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจายเป็นวงกว้าง

         เพราะเชื่อว่าทุกคนต่างจำได้ดี ครั้งล่าสุดที่เราดูเบาโรคระบาดนำหายนะแบบใดมาสู่โลก



 

ที่มา

https://ddc.moph.go.th/uploads/ckeditor2//files/9%20Ebola%203%20Dec.pdf

https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/93-ebola

https://interestingengineering.com/ebola-virus-recurrent-infections

https://www.science.org/doi/10.1126/scitranslmed.abi5229

https://il.mahidol.ac.th/e-media/nervous/ch2/chapter2/link1.html

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด การท่าเรือ พบ ทรู แบงค็อก ช้าง เอฟเอ คัพ วันนี้ 21 ธ.ค.68