posttoday

Standard Beauty มายาคติแห่งรสนิยมของยุคสมัย

15 ธันวาคม 2564

ความงามคือหัวข้อที่ได้รับความสนใจถกเถียงกันอีกครั้งในช่วงเวลาที่ผ่านมา จากการโต้แย้งเรื่องมุมมองและทัศนคติความงดงามของสตรี วันนี้เราจึงย้อนมาพารับชมต้นตำรับความงามหลากหลายวัฒนธรรม พร้อมย้อนไปตั้งคำถามว่าแท้จริงความงามคืออะไร?

          เมื่อพูดถึงความงามสิ่งแรกที่ผู้คนย่อมพากันนึกถึงคือภาพลักษณ์ของสตรี ด้วยบทบาททางสังคมถูกจำกัดลงไปมากเมื่อเทียบกับบุรุษ อีกทั้งค่านิยมในยุคก่อนต้องการให้สตรีเป็นแม่คนจึงจำเป็นต้องขับเน้นเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้าม คุณค่าของพวกเธอเป็นจึงถูกผูกติดกับความงดงามของสังคมนั้นๆ

 

          ในอดีตความงามถูกแบ่งตามยุคสมัยต่างๆ อาทิ อียิปต์มักนิยมสตรีรูปร่างผอมบาง ไหล่แคบ สูงยาว ในขณะที่ชาวกรีกนิยมรูปร่างท้วมสมบูรณ์ ผิวขาวสะอาด เรือนผมสีทอง พอขยับมาในยุคกลางและเรเนอซองค์จึงเริ่มนิยมผู้หญิงรูปร่างอวบ สะโพกผายเพื่อให้ง่ายต่อการคลอดลูก

 

          เมื่อเข้าสู่ยุควิกตอเรียเป็นต้นมา แฟชั่นและเสื้อผ้าหน้าผมเข้ามามีบาท อย่างการใส่ชุดรัดคอร์เซ็ท, ความชอบในรูปร่างเล็กกะทัดรัดของร่างกายในต้นศตวรรษที่ 20, ทรวดทรงนาฬิกาทรายสมบูรณ์แบบ, สูงกระชับแต่มีทรวดทรงเหมือนนางแบบ จนถึงช่วงยุคทศวรรษ 1990 ที่นิยมคนผอมบางและผิวขาวซีดก็ตาม

 

          เห็นได้ชัดว่าความงามเหล่านั้นมีข้อแตกต่างไปในแต่ละพื้นที่หรือยุคสมัย ขนบธรรมเนียมประเพณี จารีต จนถึงความเชื่อทางศาสนาภายในสังคม ทำให้แต่ละท้องที่ตามมีเอกลักษณ์แตกต่างไปตามท้องที่และแนวคิด ซึ่งบางส่วนสามารถสะท้อนแนวความคิดของสังคมในยุคนั้นได้ด้วย

ต้นแบบและความงามในอุดมคติของคนแต่ละท้องที่

  • เผ่ามูร์ซี

          เป็นชนเผ่าอาศัยอยู่แถบลุ่มแม่น้ำโอโม่ ประเทศเอธิโอเปีย ที่มีรูปลักษณ์ความงามแปลกตาอยู่สักหน่อย ด้วยการเจาะบริเวณริมฝีปากแล้วนำจานดินเผาขนาดใหญ่สอดลงไป อาศัยแรงพยุงจากกล้ามเนื้อคอยประคับประคอง โดยการเจาะริมฝีปากนี้ถือเป็นความงามตามแบบฉบับเผ่ามูร์ซี

 

          สาเหตุแห่งการเจาะนี้ในความหมายของพวกเขาคือ การเปลี่ยนผ่านเด็กผู้หญิงไปสู่วัยสาว เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกให้ผู้คนและตัวเธอเองได้รู้ว่าพวกเธอต้องเติบโต พร้อมมีสามี สร้างครอบครัว ดำรงเผ่าพันธุ์ จานดินเผาเองก็เป็นเครื่องหมายความเป็นกุลสตรี ให้พวกเธอใช้ชีวิตอย่างไม่รีบร้อน ประคับประคองความสัมพันธ์ในครอบครัวดังจานดินเผาภายในปาก

การเจาะริมฝีปากใส่จานดินเผาของเผ่ามูร์ซี

  • ชาวกะยัน

          ถิ่นฐานเดิมอยู่ในประเทศพม่าโดยมีลักษณะใกล้เคียงกับกะเหรี่ยง โดยมีการนิยามความงามของสตรีมาจากห่วงสีทองที่สวมคอ เป็นเครื่องประดับที่ช่วยให้คอยืดยาวมากกว่าปกติ และยิ่งสวมห่วงนี้ไว้จนคอยิ่งยาวมากเท่าใด ก็ยิ่งตรงขนมความงามของชาวกะยันมากเท่านั้น

 

          ต้นสายปลายเหตุของคอยาวนี้มาจากความเชื่อของพวกเขาว่า เดิมชาวกะยันมีบรรพบุรุษเป็นพญาหงส์ผู้งดงาม การสวมห่วงทองเหลืองเป็นการรำลึกถึงชาติกำเนิดและบรรพชน เป็นเอกลักษณ์ตัวแทนความสง่างามแห่งพญาหงส์ ด้วยนิยาม “คองามระหง” ที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น

วัฒนธรรมการใส่ห่วงที่คอของชาวกะยัน

  • จีน

          ถือเป็นธรรมเนียมที่เราเคยได้ยินกันบ่อยครั้งกับการรัดเท้า โดยทำให้เท้าเล็กจนบิดเบี้ยวผิดรูปผ่านการดัดและพับฝ่าเท้าจนหัก จากนั้นใช้ปลายผ้าดึงเท้าปลายเท้าเข้าหาแล้วมัดให้แน่นจนเข้ารูป เป็นการดัดฝ่าเท้าให้มีขนาดเล็ก ตามธรรมเนียมนิยมจีนยุคโบราณ

 

          การกระทำที่ดูเป็นการทำร้ายตัวเองแต่วัยเยาว์ได้รับความนิยมมากในทุกระดับชนชั้น ด้วยรสนิยมทางเพศในสมัยนั้น ที่สามารถอ้างอิงได้จากคัมภีร์กามสูตรสมัยราชวงศ์ชิง จากการมีท่วงท่าใช้ประโยชน์จากเท้าเรียวเล็กดังกล่าวถึง 48 ท่าเลยทีเดียว
การรัดเท้าให้เรียวเล็กของจีน

  • ชาติยุโรป

          สามารถแยกย่อยออกมาได้อีกหลายอย่าง เช่น การมัดเท้า แม้ความโดดเด่นมีชื่อเสียงโด่งดังด้านนี้จะอยู่ที่จีน แต่แท้จริงฝรั่งเศสเองก็มีธรรมเนียมแบบนี้อยู่ด้วย หรือกระโปรงสุ่มที่มีขนาด น้ำหนัก และรูปทรงไม่เอื้ออำนวยในการเดิน นำมาสู่เหตุสะเทือนขวัญในซานดิเอโก้ ประเทศชิลี ปี 1863 ที่ผู้คนถูกไฟคลอกตายกว่า 2,000 คนในเหตุการณ์ไฟไหม้ สาเหตุจากการที่สตรีชนชั้นสูงขวางทางหนีด้วยกระโปรงสุ่มของเธอ

 

          แต่ที่ได้รับการพูดถึงมากสุดคงหนีไม่พ้น ชุดคอร์เซ็ท หนึ่งในสินค้าแฟชั่นยอดนิยมของสตรียุควิคตอเรี่ยน เปลี่ยนผ่านจากรูปร่างมีน้ำมีนวลเพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการคลอดลูกเป็นเอวคอดกิ่ว จากชุดโครงเหล็กที่ใช้การบีบรัดสัดส่วนให้เล็กเกินความเป็นจริง จนทำให้เกิดอาการปวด กระดูกบิดเบี้ยวผิดรูป อวัยวะไหลเคลื่อน มีปัญหาการไหลเวียนเลือด บางรายถึงขั้นเสียชีวิตทันทีภายหลังชุดนี้กระแทกเข้าที่หัวใจเลยทีเดียว

 

          ปัจจุบันคอร์เซ็ทถูกดัดแปลงให้เข้ากับสรีระตามธรรมชาติมากขึ้นในรูปแบบชุดชั้นใน
ธรรมเนียมการใส่ชุดคอร์เซ็ทของตะวันตก

  • แขก-ขอม

          รสนิยมของแขก-ขอมสามารถพบเห็นได้จากรูปสลักเทพีหรือนางอัปสรจากปราสาทหิน ล้วนมีรูปร่างทรวดทรงอวบอิ่ม เอวหนา ต้นขาใหญ่ สะโพกโต จึงสามารถจัดได้ว่าเป็นสตรีพิมพ์นิยมในวัฒนธรรมขอมนับว่าต้องมีรูปร่างมีสัดส่วนความเป็นสตรีเด่นชัด

 

          สิ่งเหล่านี้มีสาเหตุมาจากตำราฮินดู พฤหัสตํหิตา ของพรามหณ์วราหมิหิร ระบุลักษณะของสตรีเป็นคุณไว้ว่าต้องมีรูปร่างอวบอิ่ม สะโพกพาย มีทรวดทรงชวนมอง อาจเพื่อให้สามารถคลอดหรือให้กำเนิดทายาทสืบสกุลง่าย และขอมก็รับวัฒนธรรมส่วนนี้มาถ่ายทอด ผ่านรูปปั้นเทวีรวมถึงสตรีมากมายให้ได้เห็น
รูปสลักต้นแบบความงามในแบบขอม

  • สยาม

          ในส่วนของสยามประเทศโดยมากเรานิยมความ อรชร อ้อนแอ้น รูปร่างกะทัดรัดถือเป็นความสวยงาม ขับเน้นความบอบบางของร่างกาย จากความเชื่อเรื่องความงามแรกแย้มและบริสุทธิ์ผุดผ่องของสาวรุ่น ที่ผ่านการผสมผสานมาจากหลายคติความเชื่อทางพุทศาสนาอย่าง ไตรภูมิพระร่วง

 

          ความนิยมในส่วนนี้สามารถพบเห็นได้จากทั้งจิตรกรรมฝาผนังจากวัดหรือโบราณสถานต่างๆ วรรณคดีเรื่องดังรามเกรียติ์ ที่สามารถพบเห็นความบอบบางร่างน้อยของเทวี นางอัปสร และนางเอกในวรรณคดีทั้งหลาย ล้วนมีรูปลักษณ์ความงามในทางนี้ทั้งสิ้น
ความเอวบางร่างน้อยของสตรีตามแบบพิมพ์นิยมของสยาม

          แน่นอนว่าใช่จะเป็นแนวทางเดียวตลอดไป ความนิยมทางรูปลักษณ์ความงามถือเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงไปตามผู้คนและยุคสมัย อย่างในปัจจุบันความงามอย่างอเมริกันที่เราคุ้นตาแพร่หลายไปทั่วโลก ล้วนมีต้นแบบมาจาก มาลิรีน มอนโร สาวงามค้างฟ้าที่ถือเป็นมาตรฐานความงดงามที่แพร่หลายได้รับการยอมรับจากทั่วโลก จากอิทธิพลของสื่อบันเทิงอเมริกา

 

          หรือแม้แต่ในปัจจุบันเองเมื่อสื่อบันเทิงเกาหลีเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น จากการขยายตัวของ Soft power เหล่านั้น ทำให้เกิดค่านิยมความงามตามแบบฉบับเกาหลี ที่ผสมผสานความงามแบบตะวันตกที่แพร่หลายเข้ากับความเป็นเกาหลี จนแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างด้วยอุตสาหกรรมเสริมความงามและเครื่องสำอางทั้งหลาย

 

          จากที่ยกตัวอย่างจะเห็นได้ว่ามีทั้งแนวคิดความงามที่เราคุ้นเคยจนถึงแปลกตา แต่ค่านิยมความงามเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้คนพากันนิยาม ส่วนมากเป็นค่านิยมของคนหมู่มากในสังคมหรือยุคสมัยนั้นๆ ซึ่งเราเห็นแล้วว่ามันสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสได้ทุกเมื่อ

 

          แท้จริงความงดงามเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงความรู้สึกนึกคิดส่วนบุคคล ขึ้นกับรสนิยมของแต่ละคนว่าคิดเห็นแบบไหน ไม่จำกัดเสมอไปว่านั่นต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมือนการรัดเท้าของจีน ที่เราต่างรู้ดีว่ามันสร้างความทรมานและเจ็บปวดแก่สตรีจีนในยุคนั้นเพียงไร

 

          มันจึงขึ้นกับตัวเรามากกว่าจะเห็นคุณค่าและความหมายในตัวเอง มองหาความงามของตน ยืนหยัดในสิ่งนั้นไว้ได้แค่ไหน เพราะขอแค่ไม่ไปทำร้ายเบียดเบียนใครหรือกระทำในสิ่งผิด เพียงมั่นใจในความชอบจนถึงรูปร่างของตัวเองนั่นก็ถือเป็นความงามและคุณค่าในแบบเราได้เกินพอ

----------

ที่มา

ข่าวล่าสุด

"แก๊งคอลเซ็นเตอร์" อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ยังระบาดหนัก!