พิชัย จี้รัฐบาลอนุทิน แจงปมข้อตกลงแรร์เอิร์ธกับสหรัฐ
พิชัย นริพทะพันธุ์ เรียกร้องรัฐบาลอนุทินแจงข้อตกลงแร่หายาก (Rare Earth) กับสหรัฐฯ ที่มาเลเซีย แนะใช้เป็นเครื่องต่อรองลดภาษีตอบโต้ทางการค้า เพิ่มแต้มต่อส่งออกไทย
KEY
POINTS
- นายพิชัย นริพทะพันธุ์ เรียกร้องให้รัฐบาลนายอนุทิน ชี้แจงรายละเอียดข้อตกลงแร่หายาก (Rare Earth) ที่ลงนามร่วมกับสหรัฐอเมริกา
- เสนอให้ใช้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นแต้มต่อทางการค้า เพื่อเจรจาต่อรองให้สหรัฐฯ ลดอัตราภาษีตอบโต้ที่เรียกเก็บจากไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคการส่งออก
- เตือนว่ารัฐบาลต้องบริหารความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกให้เติบโตต่อเนื่อง
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เรียกร้องให้รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ชี้แจงต่อสาธารณะเกี่ยวกับข้อตกลง “แร่หายาก” (Rare Earth) ที่ไทยลงนามร่วมกับสหรัฐฯ ระหว่างการประชุมที่ประเทศมาเลเซีย โดยระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่ออนาคตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทย และควรใช้เป็น “แต้มต่อทางการค้า” เพื่อเจรจาลดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บกับไทย
นายพิชัยระบุว่า หากรัฐบาลสามารถต่อรองให้ภาษีดังกล่าวลดลงได้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการส่งออกและสร้างศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนจีดีพี
อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ยังชี้ว่า ตัวเลขการส่งออกเดือนกันยายน ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร พุ่งสูงถึง 19% สะท้อนผลสำเร็จจากการเจรจาภาษี “ทรัมป์ดีล” ที่ได้ข้อยุติเมื่อเดือนสิงหาคมก่อนหน้า ขัดแย้งกับเสียงวิจารณ์ที่ระบุว่าเป็นเพียง “การเร่งส่งออกหนีภาษี” โดยพิชัยยืนยันว่า การขยายตัวดังกล่าวมาจากการลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ความเชื่อมั่นในนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อไทย และการเปิดตลาดใหม่ผ่าน FTA เช่น ข้อตกลงการค้าเสรีกับ EFTA ที่ทำให้การส่งออกไปสวิตเซอร์แลนด์ขยายกว่า 400%
นายพิชัย กล่าวว่า “รัฐบาลอนุทินต้องรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติให้ได้ต่อเนื่อง หากต้องการเห็นการส่งออกโตในระดับเดียวกับรัฐบาลก่อนหน้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ซึ่งเป็นหัวใจของการฟื้นเศรษฐกิจระยะยาว”
พร้อมกันนี้ นายพิชัยยังเตือนถึง “ความเสี่ยงเชิงภาพลักษณ์ประเทศ” จากกรณีการปราบปรามเครือข่ายฟอกเงินและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่รัฐบาลยังดำเนินการล่าช้า โดยยกตัวอย่างประเทศอื่นที่สามารถยึดทรัพย์มูลค่ามหาศาลได้แล้ว เช่น กรณี “เฉิน จื้อ” จากกลุ่มปริ๊นซ์กรุ๊ปที่ถูกอายัดบิตคอยน์กว่า 5 แสนล้านบาท พร้อมระบุว่าหากรัฐบาลไทยไม่เร่งรัดตรวจสอบเส้นทางการเงินและเปิดเผยเครือข่ายผู้ร่วมกระทำผิดอย่างโปร่งใส ความเชื่อมั่นจากต่างประเทศจะสั่นคลอนทันที
“หากปล่อยให้ต่างประเทศเปิดเผยหลักฐานก่อน ไทยจะเสียชื่อเสียงว่ารัฐบาลไม่จริงจังกับการปราบอาชญากรรมฟอกเงิน เพราะอาจเกี่ยวโยงกับผู้มีอิทธิพลในรัฐบาล ซึ่งจะกระทบต่อการค้า การลงทุน และการส่งออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” พิชัยกล่าว
นายพิชัยทิ้งท้ายว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้จากการสร้างความมั่นใจของรัฐบาลก่อนหน้า โดยเฉพาะการขยายตัวของการส่งออกกว่า 13% ในรอบปีและการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากรัฐบาลชุดใหม่เดินต่อในแนวทางเดียวกัน พร้อมบริหารความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อย่างมีประสิทธิภาพ ไทยจะสามารถกลับมาแข่งขันกับเวียดนามได้อีกครั้ง


