กว่าจะเป็น “ทักษิณ” ย้อนรอยบุรุษผู้เขย่าการเมืองไทยกว่า 2 ทศวรรษ
ย้อนรอยเส้นทาง “ทักษิณ ชินวัตร” บุรุษผู้สร้างแรงกระเพื่อมการเมืองไทย จากจุดสูงสุดสู่การลี้ภัย และการกลับมาเขย่าบัลลังก์อำนาจ
“ทักษิณ ชินวัตร” ชื่อที่จารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ ในฐานะหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลและสร้างแรงสั่นสะเทือนมากที่สุด
เส้นทางชีวิตของนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย เปรียบได้กับมหากาพย์ที่พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุด ผ่านมรสุมความขัดแย้งจนถึงจุดตกต่ำ และกลับมาอีกครั้งอย่างเหนือความคาดหมาย
จนอาจกล่าวได้ว่า เรื่องราวของ “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ต่างอะไรจากกระจกสะท้อนบานใหญ่ที่ฉายให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์การเมืองและสังคมไทยตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ปฐมบท “ทักษิณ ชินวัตร”
ทักษิณ ชินวัตร เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2492 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในครอบครัวชาวจีนแคะรุ่นที่สี่ เป็นบุตรชายของนักการเมืองท้องถิ่น และได้เลือกเดินตามเส้นทางข้าราชการด้วยการเข้าศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จนสำเร็จและรับราชการถึงยศพันตำรวจโท
ด้วยความมุ่งมั่นในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ทักษิณได้เดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอกด้านกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจาก Eastern Kentucky University และ Sam Houston State University ตามลำดับ
หลังกลับมายังประเทศไทย เด็กหนุ่มจากดินแดนล้านนารายนี้ มองเห็นโอกาสในโลกธุรกิจที่กำลังเติบโต จึงได้ริเริ่มทำธุรกิจหลายประเภท
ก่อนจะค้นพบช่องทางที่สร้างความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงทศวรรษ 1980 กับธุรกิจคอมพิวเตอร์แบบเช่าซื้อ และก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมอย่างเต็มตัวกับ "ชิน คอร์ปอเรชั่น"
ธุรกิจนี้สร้างรายได้มหาศาล จนทำให้ทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศไทย และเป็นที่รู้จักในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
ก้าวสู่เวทีการเมือง กำเนิด "ไทยรักไทย" และนโยบายประชานิยม
ประสบการณ์และความสำเร็จทางธุรกิจได้ผลักดันให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ก้าวเข้าสู่วงการการเมืองอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2537 โดยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นเวลาสั้นๆ ในโควตาของพรรคพลังธรรม
ประสบการณ์ทางการเมืองในครั้งนั้น ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาตัดสินใจสร้างอาณาจักรทางการเมืองของตนเอง ด้วยการก่อตั้งพรรค "ไทยรักไทย" ขึ้นในปี พ.ศ. 2541
ภายใต้การนำของทักษิณ ชินวัตร พรรคไทยรักไทยได้สร้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองด้วยชัยชนะอย่างถล่มทลายแบบแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2544 และคว้าชัยอย่างท่วมท้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2548
กลยุทธ์สำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จคือ นโยบาย "ประชานิยม" ที่เข้าถึงและซื้อใจประชาชนรากหญ้าได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นโครงการ "30 บาทรักษาทุกโรค" ที่พลิกโฉมระบบสาธารณสุขไทย หรือ "กองทุนหมู่บ้าน" ที่อัดฉีดเงินถึงมือชาวบ้านโดยตรง
นโยบายทั้งหมดนี้ได้หล่อหลอมให้ทักษิณกลายเป็นขวัญใจและเป็นที่พึ่งของคนตัวเล็กตัวน้อย โดยเฉพาะฐานเสียงอันแข็งแกร่งในภาคเหนือและอีสาน
สูงสุดสู่สามัญ รัฐประหาร และการลี้ภัย
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย อาณาจักรธุรกิจของตระกูลชินวัตรก็เจริญรุ่งเรืองอย่างก้าวกระโดดจากการได้รับสัญญาสัมปทานจากภาครัฐ
จนก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและความไม่พอใจในหมู่ประชาชน จนนำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่างๆ
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้สถานการณ์มาถึงจุดแตกหัก คือกรณีการขายหุ้นชินคอร์ปของครอบครัวชินวัตรมูลค่า 1.9 พันล้านดอลลาร์ ให้กับกลุ่มเทมาเส็กของสิงคโปร์โดยไม่ต้องเสียภาษี
จุดชนวนให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านอย่างหนัก และนำไปสู่การรัฐประหารโดยกองทัพในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
ซึ่งเป็นการขับ “นายกฯ ขวัญใจคนรากหญ้า” ออกจากตำแหน่ง พร้อมกับการเริ่มต้นกระบวนการสอบสวนในข้อหา "ร่ำรวยผิดปกติ"
หลังจากนั้น พรรคไทยรักไทยถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรค พร้อมตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 111 คน ซึ่งรวมถึงตัวทักษิณด้วย เป็นเวลา 5 ปี
ในปี พ.ศ. 2551 ทักษิณตัดสินใจหลบหนีออกจากประเทศไทย ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาจำคุกเขาในคดีที่ดินรัชดาฯ ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบ ตามมาด้วยการถูกถอดยศตำรวจ ยึดทรัพย์สินมูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ และยกเลิกหนังสือเดินทาง
15 ปี พลัดถิ่น กับบทบาทการเมืองข้ามพรมแดน
แม้ตัวจะพำนักในต่างแดน ทั้งที่อังกฤษและดูไบ ก็ไม่ได้ทำให้บทบาทและอิทธิพลของ ทักษิณ ชินวัตร จางหายไปจากการเมืองไทย
ตรงกันข้าม เขายังคงเป็นผู้สนับสนุนหลักให้กับพรรคการเมืองเครือข่าย ที่สามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งได้ถึงสองครั้งซ้อน
ทั้งพรรคพลังประชาชน (พ.ศ. 2550) และพรรคเพื่อไทย (พ.ศ. 2554) โดยยังชูนโยบายประชานิยมที่เคยสร้างความสำเร็จให้กับพรรคไทยรักไทยมาแล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง ชีวิตในต่างแดนของทักษิณยังคงขับเคลื่อนด้วยอาณาจักรธุรกิจ ทั้งโครงการเหมืองแร่ในแอฟริกา และการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในดูไบและลอนดอน
ซึ่งในปี พ.ศ. 2560 นิตยสาร Forbes ประเมินว่าเขามีทรัพย์สินสุทธิสูงถึง 1.7 พันล้านดอลลาร์
ยิ่งไปกว่านั้น ทักษิณ ชินวัตร ยังสร้างความฮือฮาสะเทือนวงการกีฬาโลก ด้วยการทุ่มเงิน 82 ล้านปอนด์เข้าซื้อสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แห่งพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2550
ก่อนจะขายต่อให้กับกลุ่มทุนมหาเศรษฐีจากอาบูดาบีอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงปี
ทักษิณ ชินวัตร มักส่งสัญญาณทางการเมืองไปยังกลุ่มผู้สนับสนุน หรือที่รู้จักกันในนาม "กลุ่มคนเสื้อแดง" ซึ่งเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวจัดการชุมนุมใหญ่เมื่อปี 2552 และ 2553 เพื่อกดดันรัฐบาลขั้วตรงข้าม
แต่สถานการณ์ได้บานปลายจนนำไปสู่การสลายการชุมนุมโดยกองทัพ และจบลงด้วยโศกนาฏกรรมที่มีผู้เสียชีวิตมากถึง 91 ราย
มรสุมการเมืองของตระกูลชินวัตรยังไม่จางหาย เมื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาว ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทยในปี 2554
แต่สุดท้ายก็ต้องเผชิญชะตากรรมซ้ำรอยพี่ชาย หลังเกิดการประท้วงใหญ่ยืดเยื้อนานหลายเดือน จนเป็นชนวนเหตุให้เกิดการรัฐประหารอีกครั้งในปี 2557 ซึ่งต่อมายิ่งลักษณ์ได้เดินทางออกนอกประเทศ และถูกศาลพิพากษาจำคุก
หวนคืนมาตุภูมิ กับบทบาทใหม่ของทักษิณ ชินวัตร
วันที่ 22 สิงหาคม 2566 นายทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางกลับถึงประเทศไทย ปิดฉากการลี้ภัยทางการเมืองในต่างแดนที่ยาวนานกว่า 15 ปีอย่างเป็นทางการ โดยการกลับมาครั้งนี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ประชุมรัฐสภามีมติโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
ซึ่งแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ผ่านการจับมือกับพรรคการเมืองขั้วอำนาจเดิม ซึ่งเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารรัฐบาลของตนเองและนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ทันทีที่เดินทางกลับถึงประเทศไทย นายทักษิณ ชินวัตร ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำเพื่อรับโทษตามคำพิพากษาเป็นเวลา 8 ปี แต่เพียงแค่คืนแรก อดีตนายกฯ ก็ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลตำรวจทันทีด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ
ก่อนเส้นทางคดีความจะพลิกผันอีกครั้งเมื่อได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือเพียง 1 ปี และเข้าเกณฑ์พักโทษในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 หลังจากรักษาตัวนาน 6 เดือน
แม้เจ้าตัวจะยืนยันสถานะ 'วางมือ' ทางการเมือง แต่ทุกความเคลื่อนไหวของอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย ยังคงอยู่ในสปอตไลต์ ทั้งการเดินสายร่วมงานต่างๆ การแสดงวิสัยทัศน์ และการวิจารณ์นโยบายรัฐบาล
บทบาทของทักษิณ ชินวัตร ยิ่งเด่นชัดขึ้นอีกเท่าตัว เมื่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนสุดท้อง สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคม 2567 ซึ่งถูกมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจทางการเมืองของตระกูลชินวัตรอย่างสมบูรณ์
ไม่เพียงเท่านั้น อิทธิพลของ ทักษิณ ชินวัตรยังแผ่ขยายไปในระดับนานาชาติ ผ่านบทบาทที่ปรึกษาให้แก่ผู้นำมาเลเซียและกองทุนความมั่งคั่งอินโดนีเซีย
ทว่าในปี พ.ศ. 2568 เสถียรภาพการเมืองไทยก็ต้องสั่นคลอนอย่างรุนแรงอีกครั้ง เมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาที่โยงใยถึงบุคคลระดับผู้นำประเทศ โดยอ้างว่าเป็นเสียงของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร กับอดีตผู้นำกัมพูชาซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นสหายคนสนิทของนายทักษิณ
ประเด็นดังกล่าวได้ลุกลามบานปลายอย่างรวดเร็ว จากความขัดแย้งทางการทูตไปสู่การปะทะกันด้วยกำลังอาวุธระหว่างสองประเทศ
ท้ายที่สุด สถานการณ์ดังกล่าวได้นำไปสู่การยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และมีคำตัดสินให้ นางสาวแพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในข้อหาฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง
และเพียง 7 วันให้หลัง รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยก็ล่มสลายลงอย่างเป็นทางการ นับเป็นการปิดฉากการหวนคืนสู่อำนาจของเครือข่ายทักษิณ และผลักให้ประเทศไทยต้องกลับไปยืนอยู่บนทางแพร่งแห่งความระส่ำครั้งแล้วครั้งเล่า


