ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ความใกล้ชิดของผู้นำไม่เพียงพอหยุดปะทะ
เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา สะท้อนความเปราะบางทางภูมิรัฐศาสตร์ แม้ผู้นำทั้งสองประเทศสัมพันธ์ดี แต่แรงสั่นสะเทือนยังไม่จบแค่เสียงปืน
แม้สายสัมพันธ์ระหว่างผู้นำไทยและกัมพูชาจะดูแนบแน่นเพียงใด แต่เหตุปะทะที่ช่องบกเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมได้ส่งสัญญาณเตือนว่า “เสถียรภาพระดับผู้นำ” อาจไม่สามารถป้องกันปฏิกิริยาที่เกิดจากช่องโหว่ภายในได้เสมอไป
ประเด็นที่น่ากังวลไม่ใช่เพียง "เสียงปืน" แต่คือ "เสียงเงียบ" ของโครงสร้างอำนาจไทย
เหตุการณ์เริ่มต้นอย่างกะทันหันในช่วงเช้ามืดวันที่ 28 พฤษภาคม ณ ช่องบก พื้นที่ทับซ้อนที่กินอาณาเขตระหว่างไทย-ลาว-กัมพูชา ราว 12 ตารางกิโลเมตร แม้การปะทะจะยุติลงภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่คำถามกลับยังคงก้องอยู่ในสนามการเมืองและการทูต: ใครคือผู้จุดชนวน?
สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ไม่เพียงแสดงท่าที “เข้าใจ” รัฐบาลไทย แต่ยังส่งสัญญาณชัดว่าไม่เชื่อว่ารัฐบาลหรือกองทัพไทยจะอยู่เบื้องหลัง ทว่าในขณะเดียวกันก็วางกรอบให้สังคมจับตากลุ่มอำนาจในไทยที่อาจแทรกแซงหรือดำเนินการโดยไม่ได้รับฉันทานุมัติจากส่วนกลาง
ข้อสงสัยนี้เชื่อมโยงกับสิ่งที่สื่อหลายสำนักตั้งคำถามมาตลอด: โครงสร้างอำนาจภายในประเทศไทยในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ยังมั่นคงเพียงพอหรือไม่?
ผู้นำพูดคุยกันได้ แต่วาทกรรมชาตินิยมกำลังเดินคนละทาง
แม้ผู้นำทั้งสองประเทศจะเร่งส่งสัญญาณประสานเสียงว่าไม่มีความขัดแย้งใดในระดับนโยบาย แต่ในโลกความจริง เสียงสะท้อนจากสื่อโซเชียลและกลุ่มการเมืองระดับล่างกลับเดินไปอีกทิศ
กลุ่มชาตินิยมในไทยเริ่มหยิบยกเหตุปะทะมาใช้ขยายฐานความชอบธรรม ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลใช้เหตุการณ์นี้เพื่อโจมตีความไร้เสถียรภาพของฝ่ายบริหารในเรื่องความมั่นคงและการควบคุมกองกำลังในพื้นที่ชายแดน
ปรากฏการณ์นี้บ่งชี้ว่า “การเจรจาระดับสูง” ไม่ได้ลบความตึงเครียดที่หมักหมมในพื้นที่หรือในเวทีการเมืองภายในได้โดยอัตโนมัติ ตราบใดที่ยังมีช่องให้ตีความ และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนต่อสาธารณชน
ชายแดนไม่ใช่แค่แนวปะทะ แต่คือภาพสะท้อนความเปราะบางของภูมิรัฐศาสตร์
พื้นที่ช่องบกเป็นเพียงหนึ่งในหลายจุดเสี่ยง เช่น ปราสาทตาเหมือน หรือช่องอานม้า ที่เคยเป็นจุดปะทะทางประวัติศาสตร์ ความเปราะบางทางภูมิรัฐศาสตร์เหล่านี้ ไม่ได้จางหายไปกับข้อตกลงหรือมิตรภาพระดับผู้นำ แต่กลับเป็น "ปัญหาซ่อนเร้น" ที่รอวันถูกจุดประกายใหม่เมื่อสภาวะทางการเมืองสุกงอม
ดังนั้น ทุกครั้งที่เกิดเหตุในจุดเหล่านี้ จึงไม่ใช่เรื่องเฉพาะหน้า แต่คือบททดสอบต่อการวางยุทธศาสตร์เชิงรุกในการจัดการชายแดนอย่างยั่งยืน
ปัญหาเศรษฐกิจไทย: ปัจจัยเร่งแรงกดดันทางการทูต
ในขณะที่รัฐบาลไทยเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง การส่งออกซบเซา และภาคท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปเกินครึ่ง การปะทะกับเพื่อนบ้านจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทย “ไม่สามารถปล่อยให้ลุกลาม”
การรักษาความสัมพันธ์กับกัมพูชาจึงไม่ใช่แค่เรื่องความมั่นคง แต่เป็น “กลไกพยุงเสถียรภาพเศรษฐกิจ” ในเชิงยุทธศาสตร์อีกด้วย
บทสรุป เมื่อ "ขั้วความสัมพันธ์" แข็งแรง แต่ "เส้นประสาทชายแดน" อ่อนล้า
เหตุการณ์ที่ช่องบกแสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระดับผู้นำไทย–กัมพูชาอาจยังคงแข็งแรง แต่เส้นประสาทแห่งชายแดนกลับเต็มไปด้วยจุดอักเสบที่รอวันปะทุ
การเจรจาคือทางออกระยะสั้น แต่ในระยะยาว ไทยจำเป็นต้องเสริม “ภูมิคุ้มกันทางการทูต” ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นจากภายใน และลดช่องว่างทางอำนาจที่ทำให้เพื่อนบ้านเกิดข้อกังขา
เมื่อภูมิรัฐศาสตร์ไม่เปลี่ยน แต่อำนาจรัฐกำลังเปลี่ยนผ่าน ความเข้าใจและความระมัดระวังทางการเมืองอาจเป็นปัจจัยชี้ชะตา… ว่าไทยจะเลือก “ความมั่นคงแบบประสาน” หรือ “ความมั่นคงแบบปะทะ” กันแน่
ที่มาประกอบเนื้อหา เนชั่นอินไซต์


