กมธ.ไฟใต้ชี้20ปีแก้ปัญหาล้มเหลวแนะ3ทางยุติความรุนแรง
กมธ.ไฟใต้ชี้ปัญหา 20 ปีสะท้อนความล้มเหลวเสนอ3ทางแก้ ทบทวนยุทธศาสตร์-เปิดพื้นที่ประชาชนมีส่วนร่วม-เจรจาอย่างจริงจัง
คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาและเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สภาผู้แทนราษฎร โดยนายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แถลงว่า กมธ. เตรียมเสนอรายงานต่อสภาฯ เพื่อส่งต่อรัฐบาล เนื่องจากการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จ โดยเสนอให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขใน3แนทาง ประกอบด้วย
- ทบทวนยุทธศาสตร์การทำงาน
- เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย
- และให้ความสำคัญกับการเจรจากับผู้เห็นต่างอย่างจริงจัง
ขณะนี้อยู่ในช่วงสุดท้ายของการจัดทำรายงาน เนื้อหาสาระสำคัญมาจากการศึกษาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ซึ่ง กมธ. จะนำเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นและเป็นที่สนใจของประชาชนมาเป็นปัจจัยประกอบการพิจารณา เพื่อเสนอข้อสังเกตและทางออกในการแก้ไขปัญหาให้เกิดผลจริงจัง ไม่ให้ปัญหาเรื้อรัง นายจาตุรนต์กล่าว
สำหรับสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ปัจจุบัน นายจาตุรนต์มองว่าเป็นผลจากการที่การแก้ไขปัญหาในภาพรวมระยะยาวยังไม่ประสบผลสำเร็จ ทำให้ กมธ. ไม่ได้แสดงความเห็นเฉพาะเจาะจงในแต่ละเหตุการณ์
อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยมีลักษณะพิเศษคือเป็นการกระทำที่ไม่จำกัดเป้าหมาย มุ่งทำร้ายประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง รวมถึงคนชราและเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันประณามว่าเป็นการกระทำที่ผิดและเลวร้าย
นายจาตุรนต์ชี้ว่า การที่ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้รับการแก้ไขในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่แสดงออกในรูปของความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น
จากการศึกษาของ กมธ. พบว่ายังส่งผลกระทบในหลายด้าน เช่น ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา มีการทุ่มเททรัพยากรลงไปในพื้นที่เป็นจำนวนมากถึงประมาณ 4-5 แสนล้านบาท แต่จังหวัดชายแดนภาคใต้กลับยังคงเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำที่สุด กระบวนการยุติธรรมยังคงอ่อนแอ และในหลายกรณีที่เกิดขึ้นไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ด้วยกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้ไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นกับฝ่ายใด ก็ไม่มีระบบที่สร้างความน่าเชื่อถือในการระบุตัวผู้กระทำผิด ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน นำไปสู่การแก้แค้นและการตอบโต้กันไปมา
สถานการณ์เช่นนี้มีลักษณะพิเศษคือ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาโดยใช้กฎหมายความมั่นคงพิเศษถึง 3 ฉบับ รวมถึงกฎอัยการศึก และมีองค์กรระดับชาติถึง 3 องค์กร ได้แก่ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการกำหนดนโยบายต่างๆ ให้แก่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายจาตุรนต์กล่าวว่า ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย โดยเฉพาะคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ระงับการทำหน้าที่ของสภาที่ปรึกษา แม้จะมีการยกเลิกคำสั่งดังกล่าวและตั้งสภาที่ปรึกษาชุดใหม่แล้ว แต่ยังต้องสร้างความมั่นใจและลดความหวาดกลัวให้กับประชาชน โดยการเพิ่มประสิทธิภาพและมาตรการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สิน
เมื่อถูกถามถึงกรณีที่ฝ่ายตรงข้ามเจาะจงโจมตีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กและคนชรา และมองว่ารัฐบาลไม่ชัดเจนเรื่องการเจรจา นายจาตุรนต์กล่าวว่า การพูดคุยกับผู้เห็นต่างในทางลับมีมาโดยตลอด และการพูดคุยอย่างเป็นทางการระหว่างรัฐบาลกับผู้เห็นต่างที่เริ่มขึ้นในปี 2556 ยังคงดำเนินอยู่ เพียงแต่การตั้งคณะพูดคุยขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงคณะพูดคุย ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในช่วงที่ยังไม่มีการตั้งคณะพูดคุย
อย่างไรก็ตาม โดยหลักการแล้ว การพูดคุยเป็นประโยชน์ในการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ขัดแย้งกับรัฐได้หาทางออกโดยสันติวิธี แต่ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากที่ผ่านมาการพูดคุยยังจำกัดและไม่ครอบคลุมประชาชนจำนวนมาก จึงไม่นำไปสู่ข้อสรุปในการแก้ไขปัญหา ดังนั้น จึงต้องร่วมกันหาทางแก้ไขโดยทบทวนยุทธศาสตร์ การใช้งบประมาณ และการบังคับใช้กฎหมาย
การสรุปว่าปัญหาเกิดจากการไม่พูดคุยนั้นเป็นเรื่องง่ายเกินไป เนื่องจากปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความซับซ้อนและสะสมมานาน การแก้ไขปัญหาจึงต้องพิจารณาในหลายมิติ ทั้งการตั้งคณะพูดคุยที่ควรเกิดขึ้นและเดินหน้าต่อไป รวมถึงการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เสนอความคิดเห็นต่อรัฐบาลมากขึ้น


