ศาลรธน.ตีตกคำร้อง"วิโรจน์"ชี้คดีทุจริตKTBถึงที่สุดแล้ว
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้อง วิโรจน์ นวลแข อดีตบิ๊กบอสแบงก์กรุงไทยขอให้วินิจฉัยปมถูกฟ้องทุจริตปล่อยกู้ KTB ชี้คดีถึงที่สุดแล้ว ไม่อาจยื่นคำร้องได้อีก
เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ศาลรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณากรณีที่นายวิโรจน์ นวลแข ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 กรณีถูกสำนักงานอัยการสูงสุดฟ้องในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 และ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาว่ามีความผิดแล้ว
นายวิโรจน์ ผู้ร้อง อ้างว่า เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยกฟ้องจำเลยที่ 1 (นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ซึ่งเป็นนักการเมืองเพียงคนเดียวในคดี ทำให้ตนเองไม่ควรถูกดำเนินคดีในศาลดังกล่าวต่อไป การที่อัยการสูงสุดยังคงดำเนินคดีกับตนจนถูกพิพากษาว่ามีความผิด เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ นายวิโรจน์ยังอ้างว่า มาตรา 10 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 และมาตรา 27 ทำให้ตนเองถูกละเมิดสิทธิ
อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องเป็นเรื่องที่ศาลอื่นมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ตามมาตรา 47 (4) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องจึงไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ได้
ส่วนที่นายวิโรจน์อ้างว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาตรา 10 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเป็นการยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย ซึ่งรัฐธรรมนูญได้บัญญัติสิทธิไว้เป็นการเฉพาะแล้วตามมาตรา 212 และมาตรา 231 (1) กรณีจึงไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามมาตรา 48 ประกอบมาตรา 47 (2) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาเช่นกัน
ทั้งนี้ นายนิรุฬห์ แสงเทียน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ขอถอนตัวจากการพิจารณาคดีนี้ เนื่องจากเคยเป็นผู้พิพากษาในศาลอื่นที่พิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องมาก่อน และที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อนุญาต
สำหรับคดีดังกล่าว นายวิโรจน์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ถูกอัยการสูงสุดฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4
สำหรับสาเหตุที่ถูกฟ้องเนื่องจากกรณีอนุมัติสินเชื่อของธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มบริษัท บมจ.กฤษดามหานคร (KMC) โดยมิชอบ ซึ่งศาลฎีกาฯ ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2558 สั่งจำคุกนายวิโรจน์เป็นเวลา 18 ปี พร้อมกับจำเลยรายอื่นๆ และสั่งให้ร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่ธนาคารกรุงไทยกว่าหมื่นล้านบาท.


