“ภัทรพงษ์” ชี้ 5 ช่องโหว่แก้ไฟป่า เรียกร้อง "รัฐบาล" หยุด! แก้ปัญหาแบบขอไปที
"ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร" เปิด 5 ช่องโหว่ที่ต้องเร่งอุดเพื่อรับมือปัญหาไฟป่า เรียกร้อง "รัฐบาล" หยุด! แก้ปัญหาแบบขอไปที
ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร เปิดเผย 5 ช่องโหว่ที่ต้องเร่งอุดเพื่อรับมือปัญหาไฟป่า ช่วงเวลาต้นปีของทุกปี ประเทศไทยต้องเผชิญกับไฟป่าและฝุ่นพิษ PM2.5 แม้ว่า รัฐบาลและหน่วยราชการ พยายามเพิ่มมาตรการและแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ อัดงบกลางเข้าไปกว่า 620 ล้านบาทก็แล้วแต่ล่าสุดจากการหารือกับหน่วยงานต่างๆ เราพบว่า ยังมีช่องโหว่ที่ต้องเร่งอุดอยู่ 5 จุดด้วยกันครับ
ช่องโหว่ที่ 1 งบประมาณในการป้องกันไฟป่า แยกเป็น 5 ปัญหา
1.1 ปัจจุบัน ท้องถิ่น(เทศบาลและอบต.)ส่วนใหญ่ยังไม่มีงบประมาณ แถมจังหวัดยังสั่งการให้มีการตั้งหน่วยสิงห์ไฟ 1 หน่วย ต่อ หนึ่งท้องถิ่น (15 คน/หน่วย) แต่ไม่มีงบประมาณและไม่มีการฝึกอบรม แม้งบกลางอนุมัติให้กรมป่าไม้มาสนับสนุนท้องถิ่นในภารกิจไฟป่า 139 ล้านบาท แต่ด้วยความล่าช้า ไม่ทันการณ์ของงบกลาง ทำให้ท้องถิ่นแทบไม่มีเวลาเตรียมการในการฝึกอบรม การเตรียมแผนที่สถานีน้ำ การเดินท่อส่งน้ำจากแหล่งน้ำที่ใกล้เคียงเพื่อช่วยเหลือในการดับไฟเลย อีกทั้งแผนของกรมป่าไม้นั้นต้องการใช้งบกลางเพื่ออบรมและจัดเตรียมอุปกรณ์ในเดือนมกราคมก่อน แต่รัฐบาลอนุมัติช้าไปนั่นเอง
1.2 ส่วนท้องถิ่น 90 แห่ง ที่ได้รับงบประมาณแล้วยังสับสนว่า งบประมาณดังกล่าวจะใช้อย่างไรได้บ้าง และหากไม่บรรจุอยู่ในแผนของท้องถิ่น จะใช้งบประมาณดังกล่าวได้หรือไม่ เนื่องจากไม่มีความชัดเจนจากภาครัฐ ในส่วนนี้ทางผมในฐานะประธานอนุกรรมาธิการไฟป่า ได้ส่งหนังสือด่วนให้ กรมปกครองท้องถิ่น และสำนักตรวจเงินแผ่นดินส่งหนังสือถึงท้องถิ่นทุกที่ที่มีพื้นที่ป่า เพื่อความชัดเจนในการใช้งบประมาณก้อนนี้แล้ว
1.3 ท้องถิ่นที่อยู่นอกแผน 14 กลุ่มป่า ที่ไม่ได้รับงบประมาณ และก็ไม่ได้รับงบกลาง เช่น ชลบุรี โคราช ชัยนาท ราชบุรี จะดำเนินการในส่วนของป่าสงวนอย่างไร
1.4 ค่าตอบแทนคนดับไฟป่าก็ยังเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องเร่งแก้ไข จากงบกลางของรัฐบาลก้อนนี้จัดสรรไว้ให้เพียงแค่ 350 บาทต่อวัน และยังต้องใช้ระบบหาประกันอุบัติเหตุจากการดับไฟกันเอง “นี่ไม่ใช่สวัสดิการที่คนสู้ไฟควรได้รับเลยแม้แต่น้อย”
1.5 การประสานงานระหว่างอบจ.กับท้องถิ่นขนาดเล็กยังเป็นช่องโหว่ แต่อุดได้เพียงแค่ให้อบจ.ที่ได้รับการเลือกตั้งเร่งจัดประชุมสภาอบจ.เพื่อตั้งงบประมาณทำโครงการสนับสนุนภารกิจไฟป่าตามกำลัง เงินสะสมของอบจ.แต่ละที่ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็น การจัดทำสถานีน้ำ หอดูไฟในพื้นที่เสี่ยงสูง ให้กับท้องถิ่นขนาดเล็ก และหน่วยดับไฟของอุทยานฯที่ขาดแคลน รวมไปถึงการสนับสนุนกลุ่มอาสาดับไฟป่าภาคประชาชน
ช่องโหว่ที่ 2 ข้อมูล แยกเป็น 3 ประเด็น
2.1 ระยะเวลาในการรายงานผลจากดาวเทียมที่ GISTDA ประมวลผลมาให้ 2 ครั้ง/วัน ไม่พอ ระยะเวลาห่างกันเกินไป หากเกิดในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก จะไม่สามารถเข้าดับไฟได้ทัน ซึ่งในส่วนนี้ข้อเท็จจริง GISTDA สามารถตรวจได้ 6 ครั้งต่อวัน เราจำเป็นต้องเพิ่มความถี่จุดนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่ไฟป่าได้แต่เนิ่นๆ
2.2 ระบบการขออนุญาตบริหารจัดการเชื้อเพลิง (FireD, BurnCheck) ยังไม่สามารถติดตามการดำเนินการชิงเผาหรือจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ ว่าได้มีการดำเนินการจริงหรือไม่ ควบคุมไฟได้แล้วหรือไม่ หรือมีการลุกลามไปหรือไม่ ทำให้ยังมีช่องโหว่ในการบริหารจัดการ
2.3 ตัดชี้วัดด้านไฟป่ายังคงเป็นจุดความร้อน (Hotspot) ตรงนี้ต้องเปลี่ยนเป็นพื้นที่เผาไหม้ (Burn Scar)โดยเฉพาะปีนี้ที่ GISTDA สามารถวิเคราะห์ Burn Scar ได้ด้วยความถี่ที่มากขึ้น จาก 14 วันต่อครั้ง เป็น 5 วันต่อครั้ง ตรงนี้จะช่วยวัดผลการทำงานได้จริง และช่วยในการวางแผนได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
2.4 ปัจจุบันยังมีความแตกต่างในทางเทคนิคการแปลผลรอยเผาไหม้ หรือ Burn Scar จากดาวเทียมระหว่าง GISTDA กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และยังไม่มีแนวทางร่วมกันที่ชัดเจน
ช่องโหว่ที่ 3 การบัญชาการ
หลังจากเมื่อศูนย์บัญชาการทราบจุดที่จะต้องเข้าไปดับแล้ว การสั่งการให้ใช้โดรนหรือ UAV ในการบินตรวจการเพื่อวางแผนการดับไฟ ยังไม่มีหน่วยงานร่วม หรือจุดบัญชาการร่วมในการดำเนินการในห้วงอากาศต่างๆ ทำให้เกิดปัญหาขึ้นหลายทาง ได้แก่
3.1 อาจเกิดความซ้ำซ้อนและสับสนในการดำเนินการ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ที่เข้าเผชิญเหตุ โดยเฉพาะในกรณีการใช้เฮลิคอปเตอร์เข้าดับไฟ
3.2 ท้องถิ่นเกิดความลังเลในการลงทุนหรือในการใช้โดรน เพื่อที่จะวางแผนในการดับไฟทำให้การดับไฟในบางพื้นที่ต้องล่าช้าออกไป หรือมีความเสี่ยงมากขึ้น
3.3 ขาดการแบ่งปันข้อมูลจากโดรนหรือ UAV ระหว่างหน่วยงาน ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนและความล่าช้าในการวางแผนเพื่อเข้าดับไฟในแต่ละพื้นที่
3.4 ความขัดแย้งระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับหน่วยราชการที่ดูแลพื้นที่เช่นกรมอุทยานในการให้การอนุญาตบินโดรน เพื่อที่จะประเมินการเข้าพื้นที่
ช่องโหว่ที่ 4 ในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งหากแยกตาม ประเภทของกฎหมายอาจแบ่งได้เป็น 3 ส่วนคือ
4.1 ในพื้นที่ป่าไม้มีสองปัญหาได้แก่ หนึ่ง การไม่สามารถจับกุมผู้ที่กระทำผิดได้และ สอง การบังคับใช้กฎหมายอาจทำให้เกิดความไม่พอใจของประชาชนในพื้นที่และทำการจุดไฟเพื่อตอบโต้การปฎิบัติงานของหน่วยราชการจำเป็นต้องพิจารณาความเหมาะสมในการบังคับใช้กฎหมายด้วย
4.2 ในส่วนของไฟในภาคการเกษตร ที่กระทรวงเกษตรมีระเบียบใหม่ที่จะไม่ให้ความช่วยเหลือกับพี่น้องเกษตรกรที่มีการเผาในพื้นที่การเกษตรของตน แต่ในพื้นที่จริง ยังไม่มีความแน่ใจในระเบียบและแนวทางปฏิบัติ ซึ่งรวมถึงการเข้าถึงข้อมูลรอยเผาไหม้ หรือ Burn Scar ที่ได้กล่าวถึงไปในตอนต้น และการพิจารณาของคณะกรรมการหมู่บ้านในการตัดสินว่า เกษตรกรผู้นั้นจะถูกตัดสิทธิ์หรือไม่ รวมถึง ปัญหา (และข้ออ้าง) เรื่องการถูกลักลอบเผาด้วย
4.3 ส่วนการเผาทั่วไปในพื้นที่ชุมชน ซึ่งสามารถบังคับใช้กฎหมายสาธารณสุขที่มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้บังคับใช้ได้ แต่ยังไม่มีแนวปฏิบัติที่เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับ ทำให้โดยส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการบังคับใช้กันอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเรื่องร้องเรียนเป็นประจำก็ตาม
ช่องโหว่ที่ 5 การรับมือด้านสุขภาพ จัดทำห้องปลอดฝุ่น และมุ้งกันฝุ่น ที่แม้ว่าต้นทุนต่อหน่วยในการจัดทำมุ้งสู้ฝุ่นและห้องปลอดฝุ่นจะลดลงมามากแล้วก็ตาม เช่น เครื่องเพิ่มแรงดันบวกสำหรับมุ้งสู้ฝุ่นมีต้นทุนต่ำกว่า 2,000 บาท หรือห้องปลอดฝุ่นขนาดใหญ่สำหรับศูนย์เด็กเล็ก ใช้งบประมาณประมาณ 30,000 ถึง 50,000 บาท/ห้อง แต่ยังมีปัญหาในการดำเนินการ 3 ประการ
5.1 ปัญหางบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีจำกัด
5.2 แต่ปัญหาใหญ่คือเรื่องการเบิกจ่าย เนื่องจากไม่มีราคากลางของการปรับปรุงห้องปลอดฝุ่นและการจัดซื้อมุ้งสู้ฝุ่น ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดความไม่แน่ใจในการดำเนินการดังกล่าว
5.3 ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนเพิ่มจำนวนช่างเทคนิค เพื่อให้สามารถทำการผลิตได้เพียงพอ ทั้งที่เรามีสถาบันอุดมศึกษาที่พร้อมให้ความช่วยเหลือในด้านนี้
นี่คือ 5 ช่องโหว่ที่ต้องเร่งอุด เพื่อให้เรารับมือปัญหาไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมและคณะอนุกรรมาธิการไฟป่าจะดำเนินการประสานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งอุดช่องโหว่เหล่านี้โดยเร็วครับ
จากช่องโหว่ทั้ง 5 จุดนี้ สะท้อนให้เห็นอีกครั้ง ถึงความไม่เข้าใจปัญหาของรัฐบาล ก็อยากจะตั้งคำถามตัวโตๆว่า เป็นรัฐบาลมาเกือบ 2 ปีแล้วเมื่อไหร่จะเรียนรู้การทำงานได้สักที หยุดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบขอไปที เป็นครั้งๆไปแบบนี้ เพราะสุดท้ายคนที่รับผลกระทบคือประชาชน


