posttoday

เวทีไทย–จีนเปิดเกมลงทุนใหม่ ดัน Industrial Park เชื่อมซัพพลายเชนโลก

22 ธันวาคม 2568

สัมมนาไทย–จีนตอกย้ำมิตรภาพ 50 ปี เปิดมุมมองนักลงทุนจีน ชูไทยเป็นฐาน Industrial Park และ Supply Chain สำคัญ รับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมโลก

KEY

POINTS

  • นักลงทุนจีนเปลี่ยนมุมมองการลงทุนในไทย โดยมองหา "ระบบนิเวศอุตสาหกรรม" ที่สมบูรณ์เพื่อการลงทุนระยะยาว แทนที่การมองหาฐานการผลิตต้นทุนต่ำเพียงอย่างเดียว
  • ประเทศไทยถูกยกระดับเป็น "แพลตฟอร์มอุตสาหกรรม" โดยใช้นิคมอุตสาหกรรม (Industrial Park) เป็นกลไกหลักในการเชื่อมโยงซัพพลายเชน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ยานยนต์พลังงานใหม่
  • เวทีความร่วมมือไทย-จีนมุ่งเน้นการสร้างโครงสร้างอุตสาหกรรมและซัพพลายเชนแบบครบวงจร เพื่อกระจายความเสี่ยงและเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก ตอบสนองการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

"นักลงทุนจีนในยุคปัจจุบันต้องการมากกว่าพื้นที่โรงงาน แต่ต้องการ "ระบบนิเวศ" ที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว ซึ่งประเทศไทยมีองค์ประกอบเหล่านี้ค่อนข้างครบถ้วน"

 

ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก การแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับโลก ประเทศไทยกำลังถูกจับตามองอีกครั้งในฐานะ “จุดยุทธศาสตร์” ของการลงทุนจากจีน เวทีสัมมนา 2025 Thailand–China Industrial Park & Supply Chain Investment Seminar ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรม Grande Centre Point Prestige จึงไม่ใช่เพียงงานแลกเปลี่ยนข้อมูลทั่วไป แต่เป็นเวทีสะท้อนทิศทางใหม่ของความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย–จีนในวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศ

 

สาระสำคัญของงานสัมมนาครั้งนี้อยู่ที่การยกระดับบทสนทนาจาก “การดึงดูดการลงทุน” ไปสู่การมองโครงสร้างอุตสาหกรรมและ Supply Chain แบบครบวงจร ซึ่งสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการที่บริษัทจีนจำนวนมากกำลังเร่งกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาฐานการผลิตเดิม และมองหาประเทศปลายทางที่มีความมั่นคงทั้งในเชิงนโยบาย โครงสร้างพื้นฐาน และระบบอุตสาหกรรม

 

ประเทศไทยจึงถูกวางบทบาทใหม่ ไม่ใช่เพียงฐานการผลิตต้นทุนต่ำ แต่เป็น “แพลตฟอร์มอุตสาหกรรม” ที่สามารถรองรับการลงทุนระยะยาวได้จริง ทั้งในมิติของ Industrial Park หรือ ระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่มีความพร้อม โลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงภูมิภาค และ Supply Chain ที่สามารถต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต

 

เวทีไทย–จีนเปิดเกมลงทุนใหม่ ดัน Industrial Park เชื่อมซัพพลายเชนโลก

 

มุมมองดังกล่าวสะท้อนอย่างชัดเจนจากคุณเว่ยหวัง ประธานสมาคมอสังหาริมทรัพย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ชี้ให้เห็นว่า แนวคิดการลงทุนของนักลงทุนจีนได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ จากการโฟกัสที่ต้นทุนการผลิต มาเป็นการพิจารณาภาพรวมของประเทศปลายทาง ทั้งเสถียรภาพ ความชัดเจนด้านนโยบาย และความพร้อมของโครงสร้างอุตสาหกรรม นักลงทุนจีนในยุคปัจจุบันต้องการมากกว่าพื้นที่โรงงาน แต่ต้องการระบบนิเวศที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว ซึ่งประเทศไทยมีองค์ประกอบเหล่านี้ค่อนข้างครบถ้วน

 

เว่ยหวัง ประธานสมาคมอสังหาริมทรัพย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

บทบาทของ Industrial Park จึงไม่ใช่เพียงพื้นที่เช่าเพื่อการผลิต แต่เป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยง Supply Chain การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในช่วงที่โลกกำลังเข้าสู่ยุคของอุตสาหกรรมใหม่ ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์พลังงานใหม่ พลังงานสะอาด หรืออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

 

ประเด็นนี้สอดคล้องกับมุมมองของ Mr. Xu Gengluo รองประธานผู้บริหาร บริษัท อมตะ อินดัสเตรียล (China Amata) ที่มองว่างานสัมมนาครั้งนี้เกิดขึ้นใน “ช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง” ของการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างอุตสาหกรรมโลก โดยเฉพาะ "อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่" ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักของนักลงทุนจีน ประเทศไทยมีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบอุตสาหกรรม และ Supply Chain ที่สามารถรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้จริง ไม่ใช่เพียงในเชิงทฤษฎี

 

Mr. Xu Gengluo รองประธานผู้บริหาร บริษัท อมตะ อินดัสเตรียล (China Amata)

 

ในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดร.ณรงศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานหอการค้าไทย–จีน มองว่า เวทีสัมมนาครั้งนี้เป็นสัญญาณเชิงบวกของความสัมพันธ์ไทย–จีนในวาระครบรอบ 50 ปี โดยเฉพาะการที่นักลงทุนจีนที่เข้ามามีความเข้าใจบริบทของประเทศไทยมากขึ้น ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจไทยก็เข้าใจความต้องการเชิงยุทธศาสตร์ของจีนมากขึ้นเช่นกัน ความเข้าใจซึ่งกันและกันนี้ คือรากฐานของความร่วมมือที่ยั่งยืน และจะนำไปสู่ผลประโยชน์ร่วมกันทั้งในระดับธุรกิจและผู้บริโภค

 

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือไทย–จีนในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงมิติการลงทุนหรือการค้าเท่านั้น หากแต่ขยายไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์ความรู้ ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะยาว ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ สะท้อนว่า ความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัยระหว่างไทย–จีน เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการเตรียมบุคลากรให้พร้อมรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมใหม่ การเชื่อมโยงภาคการศึกษาเข้ากับภาคอุตสาหกรรม จะช่วยให้การลงทุนไม่ได้หยุดอยู่แค่ตัวเงิน แต่สร้างคุณค่าเชิงโครงสร้างให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

 

เมื่อมองภาพรวม เวที 2025 Thailand–China Industrial Park & Supply Chain Investment Seminar จึงเป็นมากกว่างานสัมมนาทั่วไป หากแต่เป็นภาพสะท้อนของทิศทางใหม่ในการวางตำแหน่งประเทศไทยบนแผนที่เศรษฐกิจโลก ในฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรมและ Supply Chain ของภูมิภาคอาเซียน พร้อมกันนั้นยังตอกย้ำความแข็งแกร่งของมิตรภาพไทย–จีน ที่กำลังพัฒนาไปสู่ความร่วมมือเชิงลึก เชิงโครงสร้างและยั่งยืนมากยิ่งขึ้นในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

ข่าวล่าสุด

มติสมช.ย้ำจบปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องคุยกันระดับทวิภาคี