posttoday

บิ๊กโจ๊ก ร้องศาลขอความเป็นธรรมถูกค้นบ้านทำลายชื่อเสียง

26 กันยายน 2566

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ไม่กังวลคนใกล้ชิดจ่อถูกออกหมายจับเพิ่ม พัวพันเว็บพนันออนไลน์แจงให้เงินลูกน้องไปทำงานไม่รู้การหมุนเงิน ส่วนกรรมสิทธิ์บ้าน5หลังที่ถูกค้นเป็นของเฮียแต๋มญาติสนิทมีการทำทำสัญญาเช่าไว้อย่างชัดเจน

เมื่อวันที่ 26ก.ย.2566 เวลา 11.05น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาล พิจารณาไต่สวนเรื่องการละเมิดอำนาจศาล กรณีการออกหมายค้นบ้าน

พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ว่ามายื่นคำร้องเพื่อขอความเป็นธรรมต่อศาลเพราะมองว่า การออกหมายค้นเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงต่อศาล เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นบ้านที่ตนพักอาศัยอยู่ แต่ผู้ที่ไปขอหมายไม่ได้บอกศาล และแม้ชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ของบ้านจะเป็นคนอื่น แต่ก็เป็นญาติตนเอง

"เหตุผลที่บอกว่าเป็นการขอหมายค้นบ้านเพื่อเข้าจับกุม สารวัตรนนท์ ซึ่งเป็นนายตำรวจติดตามอาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าผมอาศัยอยู่บ้านนี่ หากศาลรู้ว่าเป็นบ้านของผม ศาลก็จะให้ความเป็นธรรม เพราะผมยังไม่มีคดีความ โดยการที่ผมถูกออกหมายค้นบ้าน และถูกนำกำลังยกมาเข้าค้นเป็นโขยง ทำให้ผมเสียชื่อเสียง" พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์

นอกจากนี้ ลูกน้องของตนที่ถูกออกหมายจับ ก็เตรียมที่จะไปยื่นขอความเป็นธรรมต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ด้วย ว่าการออกหมายจับนั้นเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เพราะในการไปขอหมายจับไม่ได้ระบุยศตำรวจใส่เพียงคำนำหน้าชื่อเป็นนายทั้งหมด ซึ่งถือว่า มีการ"ปกปิดซ่อนเร้น" จึงถือเป็นการ"ส่อพิรุธ"
 

ส่วนประเด็นที่จะไปร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนั้น เป็นเรื่องการแจ้งความเท็จ ซึ่งขอตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน ยืนยันว่าพร้อมรับการตรวจสอบ แต่การตรวจสอบต้องเป็นธรรมไม่มีวาระซ่อนเร้นไม่เช่นนั้นก็ต้องมีการใช้สิทธิทางกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับตนเอง โดยหากรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วประชาชนจะไปหาความเป็นธรรมได้จากที่ไหน

ส่วนประเด็นเรื่องเส้นทางการเงิน ที่ พบว่า ลูกน้องของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โอนเงินให้กับลูกน้องในทีมและจ่ายค่าโทรศัพท์ โอนให้มารดา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่าไม่ได้มีเส้นทางการเงินตรงเข้ามาที่ตัวเองทั้งหมดเป็นเรื่องของลูกน้อง ซึ่งเป็นหน้าที่ของลูกน้องที่ต้องตอบว่านำเงินไปทำอะไรได้มีการนำเงินไปเล่นพนัน หรือไปยุ่งเกี่ยวกับเว็บอะไรหรือไม่ หรือจะไปใช้บัญชีม้า ไปมีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับมินนี่ ถือเป็นเรื่องเฉพาะตัวไม่ได้หมายความว่าพอมีเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วจะจับเชื่อมโยงมาที่ตนได้ ต้องมาถามตนให้ตนไปอธิบาย

โดยเวลาที่ตนให้เงินลูกน้องไปทำงานที่เป็นส่วนเกินจากงบราชการลับที่มีไม่พอก็พร้อมนำเงินส่วนตัวมาทำงาน ซึ่งลูกน้องจะเอาไปหมุนยังไงก็ไม่ทราบทั้งหมดแต่ให้คิดง่ายๆ ว่า ถ้ารับเงินจากเว็บพนันคงไม่ใช่เงินแค่หลัก 2-3 ล้านบาทที่ผ่านมาเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกา ตัดสินโทษจำคุก กรณีที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงแล้ว จึงต้องไปดูที่เจตนาว่าต้องการให้ตนเสียชื่อเสียงหรือไม่

สำหรับ รองผู้กำกับคริษฐ์ ก็ทำงานอยู่กับตนมานานเหมือนเป็นเลขา ในแต่ละเดือนก็จะให้เงินไปจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลแม่ซึ่งเงินจำนวน 2.8 ล้าน คือค่าใช้จ่ายสำหรับทั้งปี ไม่ใช่แค่เดือนเดียว แต่จะมีการเอาเงินต้นไปหมุนจ่ายเอาไปเข้าเส้นเงินที่เชื่อมโยงกับมินนี่ได้อย่างไรไม่ทราบแต่ถ้ารับเงินจากเว็บพนันออนไลน์ ก็ต้องมีเส้นเงินตรงเข้ามาที่ตนเลย ซึ่งเรื่องนี้ตนก็รอที่จะสอบถามกับรองผู้กำกับคริษฐ์ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการยื่นขอประกันตัว
   
ทั้งนี้จะรอสอบถามข้อเท็จจริงกับลูกร้องหลังจากได้รับการประกันตัว โดยมีทีมทนายความเพื่อมาร่วมสอบถามข้อเท็จจริงด้วย ส่วนกระแสข่าวที่ว่า หลังจากนี้อาจจะมีหลักฐานส่วนไหนที่เชื่อมโยงมาหาตน แล้วมีการออกหมายจับตน รวมถึงภรรยา แม่ และน้องชาย ได้ กังวลใจหรือไม่นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ตนเองไม่ได้มีความกังวลใจในส่วนนี้ เพราะตนสามารถชี้แจงได้หมด โดยเฉพาะแม่ของตนที่อายุเยอะมากแล้ว ท่านไม่รู้จักเรื่องการพนันออนไลน์อย่างแน่นอน
   
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ยังบอกอีกว่า หลังจากถูกค้นบ้านได้มีการพูดคุยเเบบส่วนตัวกับ พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้ว โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บอกว่า ก่อนหน้านี้เพียงได้รับรายงานว่าจะมีการตรวจค้นซึ่งได้บอกกับผู้ที่รายงานว่าหากจะค้นก็ขอให้แจ้งก่อน แต่ตำรวจที่เข้าไปค้นกลับรายงานภายหลังจากตรวจค้นแล้ว นั่นหมายความว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ได้มาจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 
  
เมื่อถามว่า เป็นปฏิบัติการเอาคืนในการฟ้องกลับหรือยัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า  วันนี้ยังไม่ได้ฟ้องกลับแต่เป็นการมาร้องขอความเป็นธรรม และตอนนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทราบแล้วว่า ใครเป็นคนสั่ง รู้หมด ส่วนจะเป็นคนภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่นั้น ขอตอบสั้นๆ เพียงว่า “เรื่องที่เป็นการเมืองภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการเลือกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่หรือไม่ตนเองไม่ขอตอบให้ไปคิดกันเอาเอง

ทั้งนี้ จะฟ้องกลับหรือไม่สำหรับคนที่มีคำสั่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า “ถูกต้องครับ ถ้าทำผิดกฎหมายผมก็ต้องรักษาสิทธิฟ้องกลับ รักษาเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของผม วันนี้ถึงแม้ว่าผมไม่มีข้อกล่าวหาแต่ผมเสียหาย มันอาจจะไม่มีอะไรมาถึงผมเลยแต่ผมเสียชื่อเสียง และไม่ขอเอ่ยว่าใครเป็นคนสั่งการ เพราะผบ.เขาบอกมาแบบนี้”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังตอบคำถามถึงประเด็นที่ปรากฎชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์บ้านทั้ง 5 หลัง คือ เฮียแต๋ม ซึ่งเป็นนักธุรกิจรายใหญ่ที่จังหวัดอุดรธานี และพบว่ามีการโอนเงินมาจ่ายค่าส่วนกลางบ้านปีละ142,000บาทว่า เฮียแต๋ม เป็นญาติสนิทกัน และเป็นเจ้าของบ้านทั้งหมด โดยเฮียแต๋มให้เช่าบ้านอยู่ มีสัญญาเช่าชัดเจนเช่าในราคา 50,000 บาท อาศัยอยู่ 2 หลัง ส่วนหลังที่เหลือใช้เก็บของ ซึ่งด้วยความที่เป็นญาติกันจะจ่ายแพงกว่านี้ แต่เฮียแต๋มก็ไม่รับซึ่งบ้านที่อาศัยอยู่นี้ได้เคยให้การกับ ป.ป.ช. ไว้นานแล้ว และตนบริสุทธิ์ใจ เฮียแต๋มก็ไม่ใช่คนที่ทำผิดกฎหมาย ตนเป็นคนสงขลา จึงมาหาเช่าบ้านอยู่เพื่อความสะดวก

ส่วนกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม จะมีการออกมาแฉว่ามีทนายความชื่อดัง และนักข่าว เชื่อมโยงกับเครือข่ายพนันออนไลน์นี้ด้วย พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ บอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของทนายดัง และนักข่าว ไม่ได้เกี่ยวกับตนเอง เพราะอย่างที่บอกว่าไม่มีเส้นทางการเงินไหนโยงมาถึงตน