posttoday

ประยุทธ์ปลื้ม Financial Times ยก เงินบาทไทยมีเสถียรภาพ

04 มีนาคม 2566

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้สึกยินดีที่ Financial Times ลงบทความยกให้ “เงินบาท” ของไทย เป็นสกุลเงินที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุดในโลก รวมทั้งยังมีเสถียรภาพ

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีสื่ออังกฤษด้านธุรกิจและการเงิน Financial Times ลงบทความยกให้ “เงินบาท” ของไทย เป็นสกุลเงินที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุดในโลก (World’s most resilient currency) รวมทั้งยังมีเสถียรภาพ โดยชี้ให้เห็นว่านับตั้งแต่ที่ไทยเผชิญกับวิกฤตการเงินช่วงปี พ.ศ. 2541 เงินบาทได้กลายเป็นสกุลเงินที่มีเสถียรภาพในระยะยาว และทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อน้อยที่สุดอีกด้วย และแม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่า แต่ไทยก็สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ จากศูนย์กลางของวิกฤตกลายเป็นจุดยึดของความมั่นคง (An anchor of stability) และเป็นหนึ่งในบทเรียนแก่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่น ๆ

นอกจากนี้ บทความยังระบุอีกว่า การลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่องเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วย โดยปริมาณการค้าเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 80 ของ GDP ในปี 2541 เป็นมากกว่าร้อยละ 110 ในช่วงเวลานี้ อีกทั้งประเทศไทยยังมีจุดแข็งในด้านอุตสาหกรรมการผลิตที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น จากรถยนต์เป็นชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมาก และด้านการท่องเที่ยว ที่เติบโตและขยายไปในหลายๆ ด้าน เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness tourism) และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) ซึ่งสร้างรายได้ถึง 1 ใน 4 ของ GDP ประเทศ

นอกจากนี้ นายอนุชา บูรพชัยศรี ยังเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รู้สึกยินดีที่ Financial Times สื่อดังจากอังกฤษที่นำเสนอข่าวสารด้านธุรกิจและการเงิน ลงบทความวิเคราะห์ โดย รูชีร์ ชาร์มา (Ruchir Sharma) เรื่อง The untold story of the world’s most resilient currency ซึ่งได้กล่าวถึง เงินบาทด้วยความชื่นชมในความมีเสถียรภาพและมีความยืดหยุ่นที่สุดในโลก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีพร้อมมุ่งมั่นเดินหน้าฟื้นฟู และกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ประเทศไทยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว มั่นคง อย่างสมดุล

“นายกรัฐมนตรีมั่นใจประเทศไทยและรัฐบาลเดินหน้ามาถูกทางแล้ว ซึ่งรัฐบาลเชื่อมั่น และมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งพร้อมประเมินสถานการณ์ความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญควบคู่กันไป เพื่อปรับนโยบายด้านเศรษฐกิจเป็นระยะอย่างต่อเนื่องให้เหมาะสม เพื่อให้ไทยเติบโตได้อย่างสมดุล มั่นคงและยั่งยืน”