posttoday

พรบ.เครื่องหมายการค้า ฉบับปรับปรุงใหม่

03 สิงหาคม 2559

โดย...พวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์

โดย...พวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์

เรียกกันให้เข้าใจง่ายๆ ก็จะมีชื่อปรากฏตามพาดหัวเรื่องนี้ แต่ถ้าจะเรียกกันให้เป็นวิชาการตามกฎหมายคือ พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2559)

ที่จริง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฉบับที่ 3 นี้ เริ่มมีการร่างมานานแล้ว โดยแก้ไขปรับปรุงจาก พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า ฉบับที่ 2 แต่น่าจะเรียกว่าท้องเกินกำหนดมาร่วม 10 ปี คลอดยากคลอดเย็น ซึ่งแน่นอนว่าเหมือนกับกฎหมายที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาทั้งหลาย ที่ต้องใช้เวลาฟูมฟักกันนานกว่าจะคลอดได้ หรือบางทีก็แท้งไปเลย ทำให้ พ.ร.บ.เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีที่พัฒนาไป

การปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า ฉบับที่ 2 นั้น มีวัตถุประสงค์ให้ทันสมัยขึ้น ลดขั้นตอนการตรวจสอบ เพื่อให้มีความรวดเร็วขึ้น และที่สำคัญคือ ให้รองรับที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นสมาชิกพิธีสารมาดริด ซึ่งเป็นพิธีสารที่อำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในต่างประเทศ มีสมาชิกประมาณ 97 ประเทศ

หากประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกจะมีผลให้การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศสมาชิกทั้ง 97 ประเทศนั้น สามารถจดในประเทศเพียงประเทศเดียวได้ เช่น ในประเทศไทย ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา แล้วเลือกว่าจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไหนบ้าง  ซึ่งกรมจะส่งให้ WIPO (องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก) ซึ่งมีหน่วยงานที่ดำเนินการด้านนี้โดยเฉพาะ

สำหรับสาระสำคัญใน พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2559) ที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง โดยสรุป มีดังนี้

1.ลดขั้นตอนการจดทะเบียนลง เช่น กรณีที่มีผู้มายื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่เหมือนๆ กัน นายทะเบียนจะให้ไปตกลงกันเองก่อน (กรณีที่ยังไม่ได้จดทะเบียนให้ใครเลย) แต่ฉบับที่ 3 นี้ให้ดูตามเวลาก่อนหลัง ดังนั้น ถ้าเกิดเป็นหุ้นส่วนกันแล้วแย่งเครื่องหมายกันอยู่ก็ต้องรีบมายื่นจดทะเบียน เพราะฝ่ายที่มายื่นขอจดทะเบียนก่อนจะได้รับการจดก่อน แถมค่าร้องคัดค้านก็แพงขึ้นอีกเท่าตัวใน พ.ร.บ. ฉบับที่ 3 นี้ นอกจากนี้ยังลดเวลาปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียน การคัดค้านโต้แย้ง อุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนลงเหลือ 60 วัน

2.กำหนดโทษสำหรับผู้ที่นำหีบห่อบรรจุภัณฑ์ของผู้อื่นที่จดทะเบียนไว้ มาใช้สำหรับสินค้าของตนเองหรือบุคคลอื่น เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าของที่บรรจุอยู่ภายในเป็นสินค้าตามที่ปรากฏบนฉลาก หรือหีบห่อบรรจุภัณฑ์นั้น ซึ่งเดิมไม่ได้กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฉบับที่ 2 จึงต้องใช้กฎหมายอาญาแทน ซึ่งโทษน้อยกว่าสินค้าที่มีการปลอมกันมากอย่างเช่น เหล้า เป็นต้น โดยการนำขวดเหล้าที่ใช้หมดแล้ว แต่ฉลากยังอยู่มาบรรจุเหล้าชนิดอื่นที่สีสันเหมือนกันเข้าไปแทน ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ. ฉบับที่ 3 ให้ถือเป็นโทษที่ยอมความไม่ได้ และกำหนดให้จำคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกิน 4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.ค่าธรรมเนียมต่างๆ เพิ่มขึ้นจากเดิม เช่น คิดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วม แต่ละจำพวก ตั้งแต่ 1,000-9,000 บาท คำคัดค้านการขอจดทะเบียน ฉบับละ 2,000 บาท เป็นต้น

4.กำหนดให้สามารถจดเสียงเป็นเครื่องหมายการค้าได้ เช่น เสียงของไอศกรีม Wall’s หรือเสียงของการเปิดโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่งในอดีต เป็นต้น เมื่อผู้บริโภคได้ยินจะทราบว่าเป็นเสียงของไอศกรีม Wall’s หรือเสียงของโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่งได้ทันที ที่จริงในการร่างครั้งแรกๆ ได้กำหนดให้เรื่องของกลิ่นสามารถจดเป็นเครื่องหมายการค้าได้ เช่น น้ำมันเครื่องกลิ่นสตรอเบอร์รี่ เป็นต้น

เมื่อลูกค้าได้กลิ่นจะทราบทันทีว่าเป็นยี่ห้อของน้ำมันเครื่องชนิดหนึ่ง โดยไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับอาหารหรือขนม อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่าการขึ้นกับความสามารถของจมูกมนุษย์มากเกินไป อาจเป็นเรื่องที่พิสูจน์ยากในชั้นศาล หากมีข้อพิพาท เครื่องหมายกลิ่นจึงยังไม่ปรากฏใน พ.ร.บ. ฉบับที่ 3

นอกจากนี้ ก็มีบทบัญญัติที่จะรองรับการที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นสมาชิกพิธีสารมาดริด ดังกล่าวแล้วข้างต้น เช่น การกำหนดคุณสมบัติของผู้ยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ว่าต้องเป็นสัญชาติไทย การนับวันที่ยื่นคำขอว่าจะนับวันที่ยื่นในประเทศไทย หรือวันที่ส่งคำขอถึงหน่วยงานใน WIPO การยื่นขอจดทะเบียนในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติมจากที่เคยยื่นขอไปแล้ว เป็นต้น

เรื่องของพิธีสารมาดริดนั้น มีรายละเอียดพอสมควร คงจะต้องแยกเขียนต่างหากต่อไป

ข่าวล่าสุด

สูตรไลฟ์ขายของจาก “จูน-กษมา–เชน ธนา”ทำยังไงให้ขายได้ ไม่ใช่แค่มีคนดู