posttoday

พี่เลี้ยงใจยักษ์ เมื่อลูกรักเป็นเหยื่ออารมณ์

10 มีนาคม 2553

พี่เลี้ยงใจยักษ์ เมื่อลูกรักเป็นเหยื่ออารมณ์ ภัยใกล้ตัวที่ผู้ปกครองควรระวัง

พี่เลี้ยงใจยักษ์ เมื่อลูกรักเป็นเหยื่ออารมณ์ ภัยใกล้ตัวที่ผู้ปกครองควรระวัง

โดย....ธนก บังผล

พี่เลี้ยงใจยักษ์ เมื่อลูกรักเป็นเหยื่ออารมณ์ ภาพประกอบข่าว

พ่อแม่สมัยใหม่ครอบครัวเดี่ยวที่ต้องทำมาหากินตัวเป็นเกลียว มักเผชิญกับปัญหาหนักอกเรื่องลูกเล็ก จะหาใครมาเลี้ยงสักคนสุดแสนจะลำบาก ได้พี่เลี้ยงดีก็ดีไป แต่ถ้าได้พี่เลี้ยงโหดวันไหนอารมณ์แปรปรวน ลูกเราอาจกลายเป็นที่ระบายความซาดิสต์อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

อย่างที่เป็นข่าวเมื่อเร็วๆ ตำรวจ สน.ลุมพินี บุกรวบตัวพี่เลี้ยงใจโหดทุบ “น้องโฟกัส” เด็กวัยแค่ 2 ขวบดับคามือ ที่ห้องพักแฟลตเทพประธาน ย่านคลองเตย พี่เลี้ยงใจโหดคนนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหนไกลตัว แต่เป็นอาสะใภ้ของ “น้องโฟกัส” เธอชื่อ น.ส.ศิริพร หรือ เตย ศรีกระสินธุ์ อายุ 21 และกำลังตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน สอบปากคำไม่นาน เธอยอมรับสารภาพหมดเปลือกว่า เป็นผู้ลงมือทำร้ายร่างกายเด็กจนเสียชีวิต ที่ต้องลงไม้ลงมืออย่างทารุณเพราะโมโหที่เด็กเดินเหยียบท้องที่กำลังตั้งครรภ์ แถมฉี่และถ่ายไม่เป็นเวลา

น.ส.ศิริพร ผู้ต้องหาให้การว่า น้องโฟกัสนอนร้องไห้งอแง จึงลงมือทุบตีด้วยมือ จากนั้นก็จับน้องโฟกัสขึ้นมายืนแล้วบีบคอจนสลบไป เมื่อตั้งสติได้ก็ไปเรียกป้าเค็ง คนข้างห้องมาช่วยกันอุ้มลงมาจากห้องจึงถึงชั้นล่าง ก่อนจะวานให้พลเมืองดีซึ่งพักอาศัยอยู่ในแฟลตพาตัวน้องโฟกัสไปส่งที่โรง พยาบาลยาสูบ

“ตอนนี้ดิฉันตั้งท้องอยู่ แล้วเวลาน้องเขาจะเดินผ่านก็จะเดินข้ามท้องไป แต่วันเกิดเหตุน้องเขาเดินเหยียบท้อง ก็เลยโมโหเป็นอย่างมาก เลยจับเขาตีอยู่นานประมาณครึ่งชั่วโมง จนน้องเข้าสลบไป ตอนแรกก็นึกว่าหลับไป เพราะอ่อนเพลียหมดแรง พอปลุกไม่ตื่นก็เลยรีบพาส่งโรงพยาบาลทันที โดยไม่คิดว่าจะถึงขั้นเสียชีวิต ส่วนเรื่องที่น้องเขากะโหลกแตกนั้นน่าจะเป็นเพราะถูกฉันจับหัวโขกกับตู้ไป 3-4 ครั้ง และยืนยันว่า ใช้เพียงมือทุบตีท้องเท่านั้น ไม่ได้ใช้อย่างอื่นหรือมีใครช่วยทุบตี”

เรื่องน่าจะจบลงแค่นี้ แต่เมื่อนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เดินเข้าพบ พ.ต.อ.สราวุธ จินดาคำ ผกก.สน.ลุมพินี เพื่อแจ้งให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบสวนเพิ่มเติมว่ามีผู้อื่นร่วมกัน ทำร้ายร่างกายน้องโฟกัสจนเสียชีวิตด้วยหรือไม่

“เจ๊ปิ๊ก” ตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.น้องหนู เชยอรุณ อายุ 23 ปี แม่แท้ๆ ของน้องโฟกัส เคยมีประวัติถูกจับกุมคดีทำร้ายร่างกายลูกเลี้ยงของตัวเองที่เกิดกับสามีมา ก่อนแล้วครั้งหนึ่ง

เรื่องจะจบอย่างไรนั้น ก็ไม่อาจทำให้น้องโฟกัสฟื้นคืนกลับมาได้อีกแล้ว

คดีสะเทือนขวัญอีกเหตุหนึ่งที่สยองไม่แพ้กัน เมื่อปี ช่วงวันที่ 18-20 มีนาคม 2550 น.ส.บุญเรือง หรือ น้อย โคตะสาร อายุ 36 ปี อาชีพรับจ้าง เข้ามาทำงานเลี้ยง เด็กชายมิ้ง อาชวุฒิกุลวงศ์ หรือ “น้องเอ็มเจ” อายุ 22 กรณีนี้เหี้ยมโหดผิดมนุษย์ จนตกเป็นข่าวครึกโครมอยู่หลายวัน โดยมีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เต้นเป็นเจ้าเข้าเร่งล้อมคอก

น.ส.น้อย ได้ลงมือโหดกับ เด็กชายมิ้ง ด้วยการจับศีรษะกระแทกกับของแข็งไม่ทราบชนิดและขนาด ทั้งใช้ของแข็งไม่ทราบชนิดและขนาดกระแทกกับศีรษะ เด็กชายมิ้ง หลายครั้ง ทำให้กะโหลกศีรษะส่วนหลังและส่วนข้างแตกทั้งสองข้าง เนื้อสมองบวมช้ำ เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองในโพรงเนื้อสมอง ได้รับอันตรายสาหัส

ยัง...ยังไม่สาแก่ใจกับดีกรีความโหดระดับนางมาร

น.ส.น้อยยังใช้กำปั้นกดขยี้ที่หลังของเด็กชายมิ้งอย่างแรงหลายครั้ง ทุบบริเวณหน้าอก หน้าท้อง และใช้ฝ่ามือขย้ำไปที่ขาทั้งสองข้างอย่างแรง จนเป็นเหตุให้ กระดูกซี่โครงทั้งสองข้างหักหลายซี่ เลือดออกในช่องอกมีอาการช้ำที่หน้าท้อง ข้อเข่า แข้งซ้ายเป็นหย่อมๆ

การทารุณกรรมทั้งหมด ทำให้เด็กชายมิ้ง ไม่รู้สติและจำกัดในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20วัน

ถึงแม้ว่าน้องเอ็มเจ จะรอดตายราวปาฏิหาริย์ แต่พ่อแม่ของเด็กไม่ยอมเลิกรา แจ้งความดำเนินคดีกับพี่เลี้ยงใจยักษ์ จนเรื่องขึ้นสู่ศาล

ในที่สุด ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพของ น.ส.น้อย ฝ่ายจำเลยแล้วเห็นว่า พ่อแม่ของเด็กมีผลตรวจร่างกายของ เด็กชายมิ้ง ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจน ทั้งน.ส.น้อย ให้การรับสารภาพ จึงพิพากษาลงโทษจำคุก 5 ปี

แม้ว่าจะให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ทำให้ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 2 ปี 6 เดือน แต่เนื่องจากพฤติการณ์แห่งคดี น.ส.ได้ทำร้ายร่างกาย เด็กชายมิ้งซึ่งมีอายุเพียง 22 วัน เป็นการกระทำที่โหดร้าย ทารุณ แก่ผู้เสียหาย จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 8 ล้านบาท

ส่วนอาการสาหัสของ "น้องเอ็มเจ" จากภาพที่นอนบนเตียงระโยงระยางไปด้วยสายน้ำเกลือ สายเลือด น้องเอ็มเจสามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้แล้ว แต่ก็ยังต้องอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดของพ่อและแม่

ไม่เฉพาะพี่เลี้ยงที่บ้านเท่านั้น แม้แต่เนิร์สเซอรี่เองก็เคยมีเหตุฉาวมาแล้ว นางอัมพิกา ขอบรูป อายุ 27 ปี ชาวบ้าน ต.วังหงส์ อ.เมือง จ.แพร่ อดีตครูพี่เลี้ยงเด็กลูกรักเนิร์สเซอรี่ ทำร้าย “น้องการ์ตูน” ด.ญ.อารยา รักไทย อายุ 1 ปี 4 เดือน ลูกสาวเจ้าของเนิร์สเซอรี่ ด้วยพฤติกรรมโหดเหี้ยม ทั้งจิกผม ตีเข่า โดยมีคนถ่ายคลิปวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน

หลังถูกจับได้คาคลิป เธอบอกหน้าตาเฉยว่า การใช้เท้าเหยียบคอเด็กนั้นเป็นวิธีการทำให้เด็กหยุดร้องไห้

อดีตครูพี่เลี้ยงลูกรักเนิร์สเซอรี่สามคน ระบุว่าเห็นพฤติกรรมของนางอัมพิกา ซึ่งเป็นหัวหน้างานแล้วรับไม่ได้ วันแรกที่พวกตนฝึกงาน นางอัมพิกา สาธิตการเลี้ยงเด็กด้วยวิธีการที่โหดร้าย

“มีวันหนึ่งด.ญ.บุตรสาวเจ้าของลูกรักเนิร์สเซอรี่กำลังร้องไห้ นางอัมพิกา พาเข้าไปหลังเคาน์เตอร์แล้วใช้เท้าเหยียบคอจนเด็กหยุดร้องและบอกว่าเป็นวิธีการทำให้เด็กหยุดร้องไห้ หากพวกตนต้องการผ่านงานต้องหัดทำแบบนี้ ต่อมาพวกตนรู้ว่าจะไม่ผ่านงาน จึงวางแผนบันทึกภาพคลิปวิดีโอเวลานางอัมพิกา ทารุณเด็ก”

“วันที่เกิดเหตุกับน้องการ์ตูนนั้น น.ส.วนิดาซึ่งไม่ถูกกับนางอัมพิกา เป็นคนถ่ายคลิปไว้ได้และแจ้งให้เจ้าของเนิร์สเซอรี่ทราบ จนนางอัมพิกา ถูกให้ออกจากงานไป และเจ้าของยังได้แจ้งความดำเนินคดีกับนางอัมพิกา อีกด้วย”

ดังนั้นการจะฝากลูกให้ไปอยู่ในความดูแลของใครนั้น จำเป็นต้องดูให้ดี

เหตุแห่งคดีสยองขวัญเกิดขึ้นมาเป็นอุทธาหรณ์ คงไม่มีใครอยากให้ลูกรักต้องกลายเป็นเหยื่ออารมณ์คนใจบาปรายต่อไป

 
ข้อแนะนำก่อนฝากลูกกับพี่เลี้ยง

พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) วิเคราะห์ว่า เหตุพี่เลี้ยงทำร้ายเด็กมีอยู่ 2 ประเด็น คือ 1.พี่เลี้ยงตามเนิร์สเซอรี่ และ 2.พี่เลี้ยงที่จ้างมาทำงานที่บ้าน

โฆษก สตช. ให้ความเห็นว่า พี่เลี้ยงตามเนิร์สเซอรี่นั้นมีกฎระเบียบดูแลอยู่แล้ว ต้องมีการจดทะเบียน กำหนเมาตรฐาน ผู้เลี้ยงจบวุฒิการศึกษาและหลักสูตรตามที่กำหนด สถานที่ตั้งต้องมีความปลอดภัย มีอุปกรณ์พร้อม ความเป็นห่วงเรื่องบุคลากรตรงนี้ไม่ค่อยมีปัญหา เพีงแต่พ่อแม่ต้องดูให้ดีว่าเนิร์สเซอรี่แห่งนั้นเปิดขึ้นมาโดยถูกต้องหรือไม่ ได้มาตรฐานหรือเปล่า

 “ที่เสี่ยงก็คือเอาพี่เลี้ยงมาดูแลเด็กที่บ้าน ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ดูว่าใครที่จะมาเลี้ยงลูกมีความเป็นมาอย่างไร เพราะบางทีมีกรณีที่เพื่อนฝูงพามาฝากให้ทำงาน ซึ่งเราก็ไม่สนิทมาก คนเหล่านี้ต้องมีการตรวจสอบ ดูสภาพจิตใจวุฒิภาวะทางอารมณ์ ต้องอดทนหากเด็กร้องแล้วเกิดยั๊วะขึ้นมาอย่างนี้ไม่ได้ ต้องมีพื้นฐานการเลี้ยงเด็ก วิธีเปลี่ยนผ้าอ้อม วิธีอุ้ม ไม่ใช่ใครก็ได้มาเลี้ยงลูกเราได้”

พล.ต.ท.พงศพัศ แนะนำพ่อแม่ที่ฝากลูกไปเลี้ยงตามที่ต่างๆว่า ควรหมั่นตรวจสอบลูกอยู่เสมอ เช่นไปฝากตอนเช้า ไปรับตอนบ่ายต้องดูว่าลูกเราที่เคยเฮฮาร่าเริง กลับมาเซื่องซึมหรือเปล่า เวลาเด็กถูกทำร้ายฟกช้ำจะมีไข้สูงให้รีบพาไปหาหมอตรวจเช็คได้

ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องตรวจสอบประวัติพี่เลี้ยงว่าเป็นอย่างไร จบหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลที่ไหน และอย่าวางใจคนแปลกหน้าที่มาเลี้ยงลูกเราเด็ดขาด

ด้านศูนย์รับเลี้ยงและพัฒนาเด็กศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเปิดโครงการหลักสูตรอบรมพี่เลี้ยง ให้ความรู้ว่า การจะรับคนมาเข้าอบรมนั้นปัจจุบันไม่จำกัดเพศแล้ว แต่ต้องอายุ 18 ปีและจบระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3เป็นอย่างน้อย

โดยที่คณะแพทยศาสตร์ จะมีหลักสูตรอบรม 230 ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าที่ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กำหนดไว้ที่ 210 ชั่วโมง โดยมีโครงการดูแลเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 ขวบ และหลักสูตรจิตวิทยาเด็กจนถึงอายุ 6 ขวบ

ผู้ที่จะผ่านหลักสูตรของมหิดลเป็นพี่เลี้ยงเด็กได้จะต้องได้รับการอบรมด้านจิตวิทยาพัฒนาเด็ก การปรับพฤติกรรม หลักสูตรโภชนาการเด็ก การปฐมพยาบาลเด็ก เป็นต้น โดยแบ่งเป็นภาคทฤษฎี 2 สัปดาห์ และภาคปฏิบัติ 5 สัปดาห์ มีการศึกษาดูงานอีก 2 วัน

เมื่อถึงขั้นทดสอบ ผู้จะที่ผ่านภาคทฤษฎีต้องได้คะแนนเกินร้อยละ 60 และมากกว่าร้อยละ 80 ในภาคปฏิบัติ จึงจะได้ใบประกาศนียบัตร

โครงการอบรมพี่เลี้ยงเด็กนั้น เปิดนำร่องมาตั้งแต่ปี 2547 ปัจจุบันมีผู้จบหลักสูตร 130 กว่าคน โดยเน้นฝึกอบรมรุ่นละไม่เกิน 20 คน เป็นคอร์สเล็กๆ เพราะจะต้องสอนตัวต่อตัวอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านการพับผ้าอ้อม เช็ดสะดือ เช็ดตา

ที่ห่วงกันว่าจะเอาคนที่ไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์มาอบรม ศูนย์รับเลี้ยงเด็กฯยืนยันว่า ก่อนที่จะให้ผู้สมัครเข้าโครงการ จะต้องผ่านการตรวจสอบจากจิตแพทย์และนักจิตวิทยา ด้วยการสัมภาษณ์ ดูพฤติกรรม อารมณ์ บุคลิกภาพ เพื่อดูว่าผู้ที่จะเข้าอบรมมีวุฒิภาวะทางอารมณ์เป็นอย่างไร

นอกจากการทดสอบทางอารมณ์และจิตวิทยาแล้ว ยังต้องนำหลักฐานลายนิ้วมือมาตรวจสอบดูว่ามีประวัติการก่ออาชญากรรมหรือไม่ เพราะเมื่อจบจากหลักสูตรไปแล้วไม่มีงานทำ ก็สามารถเข้ามาทำงานกับทางโครงการนี้ได้ทันที

ขั้นตอนสุดท้ายของการตรวจอบ คือการเอ็กซเรย์อกและปอด ว่ามีปัญหาทางเดินหายใจหรือไม่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากเด็กสู่ผู้ใหญ่ หรือผู้ใหญ่ไปสู่เด็ก

โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์รับเลี้ยงและพัฒนาเด็กศิริราช ให้ความเห็นถึงคดีที่เกิดจากพี่เลี้ยงเด็กตามข่าวนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากพื้นฐานทางอารมณ์ของผู้เลี้ยงเป็นหลัก ไม่ใช่จะไปรับคนที่ไหนมาเลี้ยงลูกเราก็ได้ บางคนมาจากประเทศอื่นมาเฝ้าอยู่ไปวันๆ บางคนเป็นวัยรุ่น ไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ เลี้ยงเด็กแล้วหงุดหงิด รำคาญ จึงทำไปโดยไม่ได้ไตร่ตรอง ไม่คิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
      

 

ข่าวล่าสุด

จากดราม่า ‘น้องหมากินข้าวร่วมโต๊ะในร้าน’ สู่การส่องกฎหมาย Pet Friendly ของ ‘เกาหลีใต้’