posttoday

"เงาะป่าซาไก"ผวาอาหารขาดเพราะป่าเหลือน้อย

10 กุมภาพันธ์ 2553

เรื่องที่น่าเป็นห่วงในตอนนี้คือ อาหารการกิน เนื่องจากป่าไม่สมบูรณ์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว   มีป่ามากเมื่อไหร่  มันก็สบายเมื่อนั้น  แต่ป่าหมดเมื่อไหร่  มันก็ทุกข์เมื่อนั้น

เรื่องที่น่าเป็นห่วงในตอนนี้คือ อาหารการกิน เนื่องจากป่าไม่สมบูรณ์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว   มีป่ามากเมื่อไหร่  มันก็สบายเมื่อนั้น  แต่ป่าหมดเมื่อไหร่  มันก็ทุกข์เมื่อนั้น

โดย อัศวิน ภัคฆวรรณ

บ้านเรายังมีชนพื้นเมืองอีกกลุ่มหนึ่ง คือเงาะป่าซาไก   ที่ยังใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมราวกับมนุษย์ยุคหิน  เที่ยวอพยพเร่ร่อนหากินในป่าเทือกเขาบรรทัด ระหว่างจังหวัดพัทลุง ตรัง สตูล และอำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา   พวกเขาเหล่านี้ใช้ชีวิตเรียบง่าย   มีประเพณีวัฒนธรรมและภาษาเป็นของตนเอง อีกทั้งหน้าตาก็ผิดแผกแตกต่างจากคนทั่วไป

นาย นิวรณ์ เขมาวะนิช อายุ 48 ปี  อยู่บ้านเลขที่ 241 ม.7 ต.ทุ่งนารี อ.ป่าบอน จ.พัทลุง กล่าวว่า   เมื่อประมาณ 20 ปีก่อนหน้านี้  จากความขัดแย้งและถูกกดดันจากสังคมรอบข้าง ประกอบกับตนไม่อยากเป็นอาชญากร  จึงได้ตัดสินใจพาครอบครัวหนีเข้าป่าเพื่อหักล้างถางพง ใช้ชีวิตเรียบง่าย  โดยการหาของป่าประทังชีวิต  ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีใครเข้าไปอยู่อาศัย มีเพียงตนกับญาติๆ 2-3 ครอบครัวเท่านั้น และต้องเดินเท้าจากชุมชนเมืองเข้าไปประมาณครึ่งวัน

 

"เงาะป่าซาไก"ผวาอาหารขาดเพราะป่าเหลือน้อย

ในเมื่อเข้าป่ามาแล้ว ก็ไม่คิดที่กลับออกไปอยู่ข้างนอกอีก มาวันหนึ่งตนก็เข้าป่าตามปกติเพื่อหาของกิน แล้วบังเอิญได้พบกับเงาะป่าซาไก โดยมีไอ้เฒ่าควาน  เป็นผู้ใหญ่บ้าน คอยปกป้องดูแลความสงบเรียบร้อยของกลุ่ม   และได้สังเกตุเห็นการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ของกินของใช้ทุกอย่างมีอยู่ในป่าพร้อมสรรพ เมื่อเงาะป่าซาไกอยู่ได้ตนก็ต้องอยู่ได้ พร้อมทั้งคิดในใจพลางว่า ในหุบเขานี้ตนก็มีเพื่อนแล้ว

หลังจากนั้นก็สร้างความสัมพันธ์ จนเกิดการไว้เนื้อเชื่อใจ และใช้ชีวิตร่วมกันมาถึงปัจจุปัน เงาะป่าซาไกที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาบรรทัด ฝั่งพัทลุงมีอยู่ด้วยกันประมาณ 70-80 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มบ้านทุ่งนารี อ.ป่าบอน บ้านป่าพง อ.ตะโหมด และบริเวณน้ำตกมโนราห์ อ.กงหรา

ล่าสุดพบกลุ่มเงาะป่าซาไก ที่ยังเป็นชนเผ่าดั้งเดิม ไม่มีเสื้อผ้าใส่ มีแต่ตัวเปล่าล่อนจ้อน ทั้งนี้เป็นเงาะป่ากลุ่มเดียวกัน แต่ได้แยกตัวออกไป เนื่องจากทนสภาพการถูกรังแกจากสังคมเมืองไม่ไหว เลยหนีเข้าป่าลึก เขตรอยต่อระหว่าง พัทลุง สงขลา และตรัง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวชาวบ้านเรียกกันว่า ในตระ เงาะป่าซาไกกลุ่มนี้มีด้วยกันประมาณ 17-18 คน

"เรื่องที่น่าเป็นห่วงในตอนนี้คือ อาหารการกิน เนื่องจากป่าไม่สมบูรณ์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว   มีป่ามากเมื่อไหร่  มันก็สบายเมื่อนั้น  แต่ป่าหมดเมื่อไหร่  มันก็ทุกข์เมื่อนั้น และตนก็พลอยทุกข์ไปกับมันด้วย"

ส่วนด้าน ไอ้เฒ่ายาว เงาะป่าซาไก อายุประมาณ 35 ปี กล่าวว่า ในส่วนของชีวิตประจำวันนั้นผู้หญิงจะต้องออกหาอาหาร   โดยการขุดมัน ตักน้ำ และหาฟืน หรือบางครั้งก็ต้องช่วยกัน   ส่วนการออกล่าสัตว์ผู้หญิงจะตามไปด้วยก็ได้

ส่วนสภาพบรรยากาศ ยามว่างจากการหาอาหารแล้ว เงาะป่าซาไกเหล่านี้  ก็จะจับกลุ่มร้องรำทำเพลง เพื่อความสนุกสนาน โดยมีเครื่องดนตรีที่ประดิษฐ์ขึ้นเองตามภูมิปัญญาของเขา ส่วนเพลงและท่าเต้นจะใช้ภาษาและท่าทางที่เรียบง่ายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ

ปัจจุบันเงาะป่าซาไกที่อาศัยอยู่บริเวณเขตรอยต่อ 4 จังหวัด อาทิ จ.พัทลุง อาศัยอยู่ที่บ้านทุ่งนารี อ.ป่าบอน บ้านป่าพง อ.ตะโหมด และบริเวณน้ำตกมโนราห์ อ.กงหรา จ.ตรังอาศัยอยู่ที่ บ้านควนไม้ดำ บ้านคลองตง บ้านเจ้าป๊ะ บ้านในตระ บ้านเขาน้ำเต้า และบ้านปะเหลียน จ.สตูลอาศัยอยู่ที่ บริเวณถ้ำภูผาเพชร และบ้านวังสายทอง อ.รัตภูมิ จ.สงขลาอาศัยอยู่ที่ บ้านาสีทอง บ้านท่าปราง และบริเวณด่านในดง เขตรอยต่อ จ.สงขลา   ซึ่งทั้งหมดอาศัยอยู่บนเทือกเขาบรรทัด มีทั้งหมดประมาณ 200 คน

ทั้งนี้ เมื่อเร็ว ๆ  นี้  ที่ศาลาประชาคม  อ.ตะโหมด  จ.พัทลุง    นายศักดิ์ชัย  ไชยเชื้อ  นายอำเภอตะโหมด  จ.พัทลุง  ได้นำชนเผ่าชาไก   ที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาบรรทัด  พื้นที่หมู่ที่ 7 ต.ตะโหมด   อ.ตะโหมด  จำนวน  32 คน   มาถ่ายภาพทำทะเบียนประวัติ     เพื่อไม่ให้เกิดการซ้ำซ้อนในตัวบุคคล  เนื่องจากวิถีชีวิตของชนเผาซาไก   จะมีการเคลื่อนย้ายถิ่นที่อาศัยอยู่เป็นประจำ ในแถบบริเวณเทือกเขาบรรทัด    อาณาเขตครอบคลุมจังหวัดพัทลุง  สตูลและตรัง

อย่างไรก็ตาม การนำชนเผาซาไกมาทำทะเบียนประวัติในครั้งนี้   เพื่อให้สะดวกในการตรวจสอบและให้การช่วยเหลือ   โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุข ในการป้องกันและรักษาโรคที่มักจะเกิดขึ้นกับชนเผ่าซาไก เช่นโรคผิวหนัง โรคขาดสารอาหาร ทั้งยังเป็นการกำหนดเขตที่อยู่ของชนเผ่าซาไก ให้มีความชัดเจนและส่งเสริมให้มีสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่มีความเหมาะสมกับวิถีชีวิต  ประเพณี   วัฒนธรรมให้เป็นไปตามอัตลักษณ์ของชนเผ่าซาไก

แล้วจะได้นำทะเบียนประวัติเสนอกระทรวงมหาดไทย   เพื่อให้ได้รับฐานะเป็นบุคคลที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยเป็นการถาวร    ซึ่งจะเป็นผลดีกับชนเผ่าซาไก ที่ภาครัฐจะได้เข้าไปให้การช่วยเหลือได้   โดยไม่ขัดกับระเบียบของทางราชการต่อไป 

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา