posttoday

ธุรกิจของนักการเมือง

05 มิถุนายน 2554

หลายท่านหลายองค์กรพยายามที่จะกำจัดคอร์รัปชันด้วยการไม่จ่ายเงินใต้โต๊ะแก่นักการเมือง ก็คงจะเป็นได้แค่การเอามือไปบังลมเหนือกองไฟ เพราะสาเหตุที่แท้จริง หรือ “ลมใต้กองไฟ”

หลายท่านหลายองค์กรพยายามที่จะกำจัดคอร์รัปชันด้วยการไม่จ่ายเงินใต้โต๊ะแก่นักการเมือง ก็คงจะเป็นได้แค่การเอามือไปบังลมเหนือกองไฟ เพราะสาเหตุที่แท้จริง หรือ “ลมใต้กองไฟ”

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

วันที่ 1 มิ.ย. 2554 ต้องถือว่าเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกวันหนึ่งของประเทศไทย เมื่อเครือข่ายนักธุรกิจและองค์กรต่างๆ 21 แห่งได้ร่วมลงนามและประกาศที่จะต่อต้านการคอร์รัปชันทุกรูปแบบ เริ่มต้นด้วยการจะไม่จ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับนักการเมืองอีกต่อไป
แม้ว่าในทางปฏิบัติ (ขณะนี้) จะเป็นไปได้ยาก แต่ก็ต้องถือว่าเป็น “ความกล้าหาญ” ที่หาได้ยากในสังคมไทย อันเป็นสังคมที่ยอมสยบให้กับผู้มีอำนาจทั้งหลายเสมอมา

หากรักษาความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับความชั่วทั้งหลายนี้ไว้เสมอ ไม่นานเป้าหมายที่เราทั้งหลายอยากจะเห็นบ้านเมืองของเรา “ใสสะอาด” คงจะเป็นจริงอย่างน่านอน

ธุรกิจของนักการเมือง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาคส่วนต่างๆ ในสังคมจะพยายาม “ต่อสู้” กับการคอร์รัปชันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เกินความสามารถของ “คนโกง” ที่พยายามจะหาวิธีเอาตัวรอด โดยเฉพาะนักการเมืองที่ไม่เพียงแต่จะต่อสู้กับการปราบปรามคอร์รัปชันในทุกหนทาง แต่ก็ยังคิดที่จะหาทางคอร์รัปชันด้วยวิธีการใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

ท่านที่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์คงจะพอมองเห็นว่าการคอร์รัปชันได้มีอยู่ในสังคมไทยมานานแล้ว อย่างเช่นที่ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยสันนิษฐานว่าในสมัยสุโขทัยก็น่าจะมีการคอร์รัปชัน ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ต้องจารึกไว้ในหลักศิลาว่า “ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ค้าวัวค้าควายค้า พ่อขุนบ่เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง” เพราะในสมัยนั้นคงจะมีการห้ามหรือไม่มีเสรีในการค้าดังกล่าว รวมทั้งน่าจะมีการเก็บ “จกอบ” ที่ปัจจุบันนี้หมายถึงค่าธรรมเนียมในการผ่านด่าน อย่างที่คนใช้รถใช้ถนนเรียกว่า “ส่วย” นั่นเอง

ครั้นในสมัยอยุธยายิ่งหนักข้อไปใหญ่ เพราะมีระบบการค้าผูกขาด แต่ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือการนำระบบไพร่มาใช้ควบคุมคนในสังคม โดยให้เจ้าขุนมูลนายมีอำนาจในการที่จะแสวงหาประโยชน์จากข้าและทาสได้ตามสะดวก (ทั้งนี้ก็คงขึ้นอยู่กับ “จริยธรรม” ของเจ้านายแต่ละท่านนั้นด้วย) โดยคนที่เป็นข้า (ไม่รวมทาส เพราะทาสไม่มีสิทธิอะไรทั้งสิ้น แม้แต่สิทธิในชีวิตของตัวเอง) จะได้รับผลตอบแทนเป็นการคุ้มครองและการช่วยเหลือต่างๆ (ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเจ้านาย)

ผู้เขียนมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ด้วยระบบการให้ความคุ้มครองนี่เองที่ได้สร้างปัญหาให้กับคนไทยและสังคมไทยอย่างรุนแรงมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งนี้แม้ว่าแนวคิดเรื่องการให้

ความคุ้มครองจะมีขึ้นเพื่อแสดงถึงความเมตตากรุณาของเจ้านาย แต่ข้าผู้ที่อยู่ใต้ความคุ้มครองกลับยิ่งจะมีความยากลำบากในชีวิตจากภาพลวงของความเมตตากรุณานั้น

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าคนที่เป็นข้าด้วยกันเองนั่นแหละที่ใช้ความเป็น “ข้าใกล้ชิด” มาข่มเหงคนที่เป็นข้า (รวมถึงทาสนั้นด้วย) ด้วยกันอีกที นั่นก็คือจะมีระบบการคุ้มครองกันเป็นชั้นๆ ซึ่งต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้นำระบบราชการมาควบคุมคนแทนระบบไพร่ แต่ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำ “ความคุ้มครองแบบขนมชั้น” นี้ให้เห็นอย่างเด่นชัด เพราะระบบราชการนั่นเองก็เป็นระบบที่ควบคุมกันเป็นชั้นๆ อยู่แล้ว ถึงขั้นที่ในการสัมมนาทางวิชาการรัฐศาสตร์ครั้งหนึ่งมีผู้เสนอว่าประเทศไทยไม่เคยมี “การปกครอง” มีแต่ “การคุ้มครอง”

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 เราก็มีผู้คุ้มครองกลุ่มใหม่เข้ามาที่เรียกว่า “นักการเมือง” ซึ่งความจริงแล้วส่วนใหญ่ก็เคยเป็นข้าราชการมาก่อน หลายคนจึงเรียกระบอบที่ปกครอง (คุ้มครอง) โดยคนกลุ่มนี้ว่า “อำมาตยาธิปไตย” เพราะไม่อาจจะสลัดคราบความเป็น “ราชการ” ในการบริหารแผ่นดินนั้นออกไปได้ และเจ้าขุนมูลนายในระบบเดิมที่เคยอยู่ภายใต้พระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ก็ถูกปลดปล่อยให้มีอำนาจได้เองตามลำพัง อันเป็นที่มาของระบบการเมืองแบบ “นักเลงครองเมือง” อย่างที่เห็นอยู่ในระบบการเมืองไทยในทุกระดับ

ว่ากันว่า “ระบบนักเลงครองเมือง” เกิดขึ้นจากการตื่นตัวของบรรดาพ่อค้านายทุนทั้งระดับชาติและท้องถิ่นภายหลังเหตุการณ์วันที่ 14 ต.ค. 2516 ที่นิสิต นักศึกษา และประชาชน ได้ช่วยกันโค่นล้ม “ระบบทหาร” อันเป็นฐานรากหลักของอำมาตยาธิปไตยนั้นลงไปได้ (ชั่วคราว) คนเหล่านี้ได้หลั่งไหลเข้ามาสู่ระบบการเมืองด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งอย่างเอาจริงเอาจัง และเมื่อประสบความสำเร็จได้รับการเลือกตั้งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดหลายคนหลายตระกูลก็พยายามที่จะสร้างอาณาทางการเมืองของแต่ละคนนั้นขึ้น อย่างที่เห็นรัฐสภาของเราว่าเป็น “สภาผัวเมียลูกหลานและคณาญาติ” สืบเนื่องมาถึงทุกวันนี้

คนเหล่านี้สร้างระบบวงศาคณาญาติให้มีอำนาจขึ้นมาได้ก็ด้วยการให้ความคุ้มครองแก่ผู้คนแลกเปลี่ยนกับคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง ดังนั้นเราจึงได้เห็นระบบ “เจ้าพ่อจังหวัด” หรือ “เจ้าพ่อทางการเมือง” นี้อยู่ทั่วไป ในขณะเดียวกันระบบนี้ก็ต้องอิงแอบกับระบบหัวคะแนน ซึ่งคนที่เป็นหัวคะแนนก็มักจะอ้างอิงตัวเองเข้าไปกับเจ้าของพื้นที่ซึ่งก็คือนักการเมือง ในที่สุดเมื่อนักการเมืองผู้นั้นขึ้นไปมีอำนาจ เช่น เป็นรัฐมนตรี บรรดาหัวคะแนนเหล่านี้ก็จะได้รับอานุภาพในความยิ่งใหญ่นั้นตามไปด้วย แล้วก็จะใช้อานุภาพหรืออิทธิพลที่ได้มานั้น “คุ้มครอง” ประชาชนในพื้นที่อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งระบบนี้ก็คือ “นักเลงทางการเมือง” ที่ประชาชนทั้งหลายต้องยอมสยบ

ในระดับชาตินั้น นักการเมืองที่เข้าไปมีอำนาจในรัฐบาลต่างก็พยายามที่จะสร้างระบบนักเลงทางการเมืองนี้ขึ้นด้วยเช่นกัน นั่นก็คือที่เราได้เห็นการวางตนเหนือกฎหมายหรือใช้อำนาจบาตรใหญ่ตามอำเภอใจ เริ่มต้นจากการสร้าง “ความใหญ่” พื้นๆ แบบมีขบวนรถแห่แหนและเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ คอยคุ้มกันตามหน้าตามหลัง การจิกหัวโขกสับข้าราชการอย่างเมามัน (อาจจะมีวิธีการที่นุ่มนวลแต่ก็คือการบีบบังคับข้าราชการต่างๆ นานานั่นเอง) อย่างที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือ การพิจารณางบประมาณอันเป็นเวทีการใช้ “ความกร่าง” ของนักการเมืองเลวๆ เหล่านั้น

ตรงนี้จึงมาถึงคำตอบที่ว่า ทำไมนักการเมืองจึงชอบที่จะคอร์รัปชัน นั่นก็เพราะเขาต้องใช้เงินทองไปสร้างอิทธิพล อิทธิพลสามารถสร้างอำนาจ และอำนาจนี้ก็ไปทำให้คอร์รัปชันได้มากยิ่งขึ้นอีก ในขณะที่ประชาชนก็รู้สึก “สุขสบาย” ที่มีนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ให้ความคุ้มครองอยู่ โดยไม่ตระหนักแม้สักนิดว่า ผู้คุ้มครองของตนจะแสวงหาอำนาจและความร่ำรวยนั้นมาด้วยวิธีการใด

หลายท่านหลายองค์กรพยายามที่จะกำจัดคอร์รัปชันด้วยการไม่จ่ายเงินใต้โต๊ะแก่นักการเมือง ก็คงจะเป็นได้แค่การเอามือไปบังลมเหนือกองไฟ เพราะสาเหตุที่แท้จริง หรือ “ลมใต้กองไฟ” ก็คือการที่ประชาชนของเรายังมีความสุขอยู่กับเงินที่นักการเมืองคอร์รัปชันมานั่นเอง

คนเหล่านี้แหละคือหุ้นส่วนหลักในธุรกิจการคอร์รัปชันของนักการเมือง

ข่าวล่าสุด

งานเข้า! EU สอบสวน Google ข้อหาผูกขาดเนื้อหาให้กับ AI ของบริษัท